คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1691/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 จะมิได้บัญญัติถึงการริบของกลางไว้ แต่ก็มิได้บัญญัติถึงเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างอื่นดังนั้น เมื่อจำเลยใช้รถยนต์บรรทุกบรรทุกน้ำหนักเกินอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย รถยนต์บรรทุกจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบรถยนต์บรรทุกนั้นได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ประกอบด้วยมาตรา 17 การที่ศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่งโจทก์ขอให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 นั้น ศาลย่อมเห็นแล้วว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด แม้จะมิได้ระบุบทกฎหมายก็มิใช่กรณีศาลพิพากษาไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินซึ่งมีน้ำหนักบรรทุกเกินอัตราที่ได้กำหนดแล่นไปตามทางหลวงแผ่นดินอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 56, 83 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33และขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 เดือน รถยนต์บรรทุกของกลางเห็นสมควรไม่ริบ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาข้อแรกสรุปได้ว่า เจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญามุ่งจะริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง รถยนต์บรรทุกของกลางมิใช่เป็นทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์องค์ประกอบโดยตรงของประกาศของคณะปฏิวัติ (จำเลยคงจะหมายถึงประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515) การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินซึ่งมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่ากำหนด อันเป็นความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515และขอให้ศาลสั่งให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกน้ำหนักเกิน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายรถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่บุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) และแม้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 จะมิได้บัญญัติถึงการริบของกลางไว้ แต่ก็มิได้บัญญัติถึงเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างอื่นจึงนำมาตรา 33 นี้มาใช้บังคับได้ตามมาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญาฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกามาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่และการริบเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมเห็นแล้วว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งโจทก์ขอให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นไปตามกฎหมาย แม้จะมิได้ระบุบทกฎหมายก็มิใช่กรณีศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share