คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแพ่งซึ่งถ้าเป็นจริงตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า บิดาจำเลยผู้ทำสัญญามัดจำขายที่ดินให้ดดจทก์ได้ตายแล้ว จำเลยได้ยอมรับปฏิบัติตามสัญญามัดจำจะโอนให้โจทก์ทั้งยอมให้โจทก์ครอบครองที่ดินนั้นจนบัดนี้ ดังนี้ ย่อมเรียกได้ว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้ต่อโจกท์อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลง หากศาลชั้นต้นงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสีย และวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ค.โจทก์ที่ ๑ จ.และ ผ. ได้จำนองที่ดินไว้กับโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นภริยาโจทก์เป็นเงิน ๑,๑๐๐ บาท แล้ว จ.ทำสัญญามัดจำขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนเป็นราคา ๔๕๐ บาท โจทก์ชำระมัดจำไปแล้ว ๘๐ บาท จ.ได้ตกลงให้หักหนี้จำนองเฉพาะส่วนของ จ. หักใช้เป็นราคาที่ดินด้วย และโจทก์กล่าวในฟ้องตอนท้ายว่า “ต่ามา จ.ตาย จำเลยซึ่งเป็นบุตรยอมรับจะโอนนารายนี้ ที่ จ.ขายให้นั้นให้แก่โจทก์ ทั้งยอมให้โจทก์เข้าครอบครองและทำนาต่อมาจนทุกวัน ซึ่งโจทก์มิได้ละเว้นเพิกเฉยการเรียกร้องมาแต่ต้นเลย คงติดต่อทวงถามและจำเลยก็รับคำเสมอมา” จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะและตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะ จ.ตายกว่า ๑ ปี
ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน และเห็นว่าเจ้าของกรรมสิทธิร่วมคนใดคนหนึ่งอาจจำหน่ายส่วนของตนได้ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๓๖๑ วรรคต้น แต่ปรากกว่า จ.ตายมา ๗-๘ ปี แล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อเกิน ๑ ปี จึงขาดอายุความตามประมวลแพ่งฯ ๑๗๕๔ วรรค ๓ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เรื่องอายุความมรดกตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๗๕๔ วรรค ๓ นั้น ตามฟ้องเดิมและฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มีประเด็นว่าจำเลยลูกหนี้ได้รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๗๒ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบ แต่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานเสียทั้ง ๒ ฝ่ายเสีย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา ในชั้นฎีกามีปัญหาแต่เฉพาะเรื่องอายุความ
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าเป็นจริงตามที่โจทก์กล่าวยืนยันในฟ้องตอนท้าย ก็เรียกได้ว่าจำเลยรับสภาพต่อโจทก์ ผู้เป็นเจ้าหนี้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามมาตรา ๑๗๒ แห่ง ป.ม.แพ่งฯ เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share