แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยต้องโทษฐานลักทรัพย์มาแล้ว 2 ครั้งตาม มาตรา 294และ มาตรา 293 แม้ครั้งหลังจะเนิ่นนานเกิน 5 ปี จึงมาทำผิดฐานลักทรัพย์ตาม มาตรา 294 ในคดีนี้ ศาลก็ถือว่าจำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้าย และลงโทษกักกันจำเลย
ศาลชั้นต้นจำคุก 1 ปีไม่ลงโทษกักกัน ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะให้ส่งไปกักกันมีกำหนด 3 ปี จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงในเรื่องกักกันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกับพวกลักสลากกินแบ่งของ ม. ไปในเวลากลางคืน ราคา 68 บาท จำเลยเคยต้องโทษมาหลายครั้งแล้วตามใบแดงแจ้งโทษ ขอให้ลงโทษเพิ่มโทษและให้ลงโทษกักกันด้วยจำเลยปฏิเสธ ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทำผิดจริงดังฟ้องให้จำคุก 1 ปี ตามกฎหมายอาญา มาตรา 293 ส่วนที่ขอให้กักกันเห็นว่าโทษครั้งหลังเนิ่นนานเกิน 5 ปีแล้ว ความผิดครั้งนี้ไม่ร้ายแรงหรือก่อกวนความสุขของประชาชนทั่วไป ยังไม่ถือว่ามีสันดานเป็นผู้ร้ายจึงไม่กักกันจำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โทษของจำเลยครั้งก่อนและครั้งนี้เป็นฐานลักทรัพย์อย่างเดียวกันและประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์ทั้งนั้นแม้ครั้งหลังจะเนิ่นนานเกิน 5 ปีก็ไม่เป็นเหตุพอจะให้ถือว่าไม่มีสันดานเป็นผู้ร้ายได้ และความผิดอาญาทั้งหลายก่อกวนความสงบสุขของประชาชน ยิ่งฐานลักทรัพย์ยิ่งก่อกวนหนักขึ้น พิพากษาแก้ว่าเมื่อพ้นโทษแล้วให้กักกันจำเลย 3 ปี ตามมาตรา 10 พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามใบแดงแจ้งโทษจำเลยเคยต้องโทษฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 294 มาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งมิใช่ฐานประมาทหรือลหุโทษครั้งที่ 2 พ้นโทษเมื่อ พ.ศ. 2487 และความผิดครั้งนี้ก็เป็นเหตุร้าย ซึ่งตามพระราชบัญญัติกักกันฯ มาตรา 8 ศาลอาจถือว่าจำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้ายและลงโทษกักกันได้ เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยสมคบพวกกระทำโจรกรรมไม่หยุดหย่อน และไม่มีท่าทางว่าจะเข็ดหลาบ สมควรที่จะลงโทษกักกันจำเลย
พิพากษายืน