แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยตกลงชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนแต่ไม่ปรากฏวันที่ชำระค่าเช่าแน่นอนของแต่ละเดือน จึงต้องถือเอาวันสิ้นเดือนเป็นกำหนดชำระค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 559
เมื่อไม่ได้กำหนดเวลาการเช่าไว้ โจทก์ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาแก่จำเลยผู้เช่าให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่าง น้อยคืออย่างน้อยหนึ่งเดือนนับแต่วันสิ้นเดือน โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ จำเลยทราบคำบอกกล่าวเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ โจทก์จึงต้องให้เวลาจำเลยในเดือนมีนาคมเต็มเดือน เมื่อโจทก์ฟ้องคดีวันที่ 11 มีนาคม จึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 การบอกเลิกการเช่าของโจทก์ไม่ชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าตึกแถวจากโจทก์โดยไม่มีกำหนดเวลาโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออกจากตึกที่เช่า ขอให้บังคับจำเลยออกจากตึกที่เช่าและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกพิพาท จำเลยไม่เคยเช่าตึกจากโจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่าไม่ชอบและค่าเสียหายที่เรียกร้องสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเช่าตึกแถวพิพาทได้ความว่าตกลงชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน แต่ไม่ปรากฏวันที่ชำระเงินแน่นอนของแต่ละเดือนจึงเป็นการเช่าชนิดที่ไม่เป็นการแน่นอนว่ากำหนดเวลาชำระค่าเช่าในวันใด ก็ต้องถือเอาวันสิ้นเดือนเป็นกำหนดชำระค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๕๙ และการเช่าระหว่างโจทก์จำเลยไม่ได้กำหนดเวลาเช่าไว้ โจทก์จึงต้องบอกกล่าวแก่จำเลยให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย ตามนัยแห่งมาตรา ๕๖๖ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น คดีนี้โจทก์จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยรู้ตัวก่อนอย่างน้อยหนึ่งเดือนนับตั้งแต่วันสิ้นเดือนอันถือเป็นวันกำหนดชำระค่าเช่า ปรากฏว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ และถือว่าส่งให้จำเลยโดยชอบแล้วเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ดังนั้นโจทก์จึงต้องให้เวลาจำเลยในเดือนมีนาคม ๒๕๒๖ เต็มเดือน อันถือว่าเป็นชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าถัดไประยะหนึ่ง โจทก์จะฟ้องคดีในวันใดวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ๒๕๒๖ ยังไม่ได้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๖ จึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๖ ซึ่งหมายความว่าการบอกเลิกการเช่าของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น