คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4384/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นลูกจ้างของโจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง แบบแผน วิธิปฏิบัติงานของโจทก์ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานอยู่ด้วย ดังนี้ หาใช่เป็นเรื่องจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดแก่โจทก์เพียงประการเดียวไม่ การปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตามมาตรา 164 ซึ่งกำหนดอายุความไว้ 10 ปี
จำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 นอกจากมีหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ในการควบคุมจำเลยที่ 2 ให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ในการทำไม้ของกลางแล้ว ยังต้องมีหน้าที่ไปตรวจดูแลไม้ของกลางที่ว่าจ้าง ป. เฝ้ารักษาไม่ให้เสียหายจนกว่าจะขายได้ด้วย ดังนั้น เมื่อไม้ของกลางดังกล่าวสูญหาย แม้โจทก์จะปรับ ป. ไปแล้วตามสัญญา ก็หาเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 พ้นความรับผิดไม่
ป. ทำหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ว่า จะชำระเงินให้โจทก์จำนวน 50,000 บาท ซึ่งเป็นการชำระหนี้บางส่วนโดยโจทก์ไม่ได้ฟ้อง ป. ให้รับผิด เมื่อ ป. ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยโดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีเสียก่อน
โจทก์ฟ้องตั้งข้อหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปฏิบัติผิดข้อบังคับระเบียบ คำสั่ง แบบแผน วิธีปฏิบัติงาน และไม่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของโจทก เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ดังนี้เป็นเรื่องความรับผิดของจำเลยทั้งสองในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากจำเลยคนใดคนหนึ่งทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก และจำเลยทั้งสองยังคงต้องผูกพันอยู่จนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 การที่โจทก์สั่งให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายคนละกึ่งหนึ่งเป็นเรื่องโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เท่านั้น หากจำเลยคนหนึ่งคนใดยินยอมชำระให้กึ่งหนึ่ง โจทก์ก็อาจพิจารณาไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยผู้ชำระหนี้นั้นต่อไป แต่ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะบังคับตาม มาตรา 291 กรณีจึงไม่ใช่เรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
การที่โจทก์ลงโทษตัดเงินเดือนจำเลยที่ 2 ซึ่งกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับของโจทก์ ฉบับที่ 7 ว่าด้วยวินัยการสอบสวน และการลงโทษสำหรับพนักงานและคนงานอันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หาเป็นเหตุลบล้างสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีอยู่ตามกฎหมายไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างโจทก์ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอุตสาหะ รวดเร็ว ไม่เอาใจใส่รักษาผลประโยชน์ของโจทก์ ทั้งบกพร่องต่อหน้าที่ มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดสัญญาจ้าง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๓๓๙,๐๘๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจ้าง ป. เฝ้ารักษา เมื่อไม้สูญหาย ป. ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมเสียค่าปรับแก่โจทก์ และชำระค่าปรับบางส่วนจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาทไปแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๑ เป็นอันระงับ ชอบที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจาก ป. และโจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปี ขาดอายุความแล้ว ทั้งจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่อันเป็นเหตุให้ไม้สูญหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ไม้ของกลางอยู่ในความดูแลรักษาของ ป. ตามที่โจทก์ว่าจ้าง จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร การที่ไม้สูญหายไม่ได้เกิดจากความบกพร่องต่อหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องละเมิดจึงขาดอายุความละเมิดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวนตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อ ๔ ว่าความรับผิดฐานละเมิดกับความรับผิดฐานไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของโจทก์เป็นคนละเรื่องคนละประเด็น และนับแต่วันที่เกิดเหตุถึงวันฟ้องเกิน ๑ ปี คดีขาดอายุความข้อหาละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างของโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง แบบแผนและวิธีปฏิบัติงานของโจทก์อันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และผิดสัญญาจ้างแรงงานอยู่ด้วย กรณีหาใช่เป็นเรื่องจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์เพียงประการเดียวไม่ การปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตามมาตรา ๑๖๔ ซึ่งกำหนดอายุความไว้สิบปี คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความดังข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ตามข้อ ๕ ว่า เมื่อโจทก์ชำระราคาไม้ของกลางแล้ว โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจ้างนายปริยะ เมฆฉ่ำ เป็นผู้เฝ้ารักษาโดยได้รับค่าจ้าง หากไม้สูญหาย นายปริยะ เมฆฉ่ำ ต้องชดใช้ค่าปรับ ดังนั้น นายปริยะ เมฆฉ่ำ จึงเป็นผู้ครอบครองและเป็นผู้รับผิดชอบไม้ทั้งหมด เมื่อไม้สูญหายไปแล้วโจทก์ได้ปรับนายปริยะ เมฆฉ่ำ โดยทำหนังสือรับสภาพหนี้ฉบับลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ต่อมาก็ได้มีการชำระค่าปรับบางส่วนจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ เป็นอันระงับ ศาลฎีกาเห็นว่า ไม้ของกลางรายนี้เป็นของโจทก์และตามคำสั่งฝ่ายทำไม้ภาคตะวันตกและภาคใต้ ที่ ๑๒๖/๒๕๒๖ เรื่อง กำหนดหน้าที่และย้ายพนักงานภายในส่วนทำไม้สุราษฎร์ธานี ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๖ เอกสารหมายเลข ๓ ท้ายคำฟ้องกำหนดไว้ในหน้า ๓ งานทำไม้สุราษฎร์ธานี ลำดับ ๑๐ นายอำนวย มธุโรรส จำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้างานทำไม้สุราษฎร์ธานี และลำดับที่ ๑๑ นายเอิบ ชูกำเนิด จำเลยที่ ๒ เป็นพนักงานประจำป่า ควบคุมและรับผิดชอบการทำไม้ของกลาง ป่านอกโครงการ หมอนไม้บ้านควนเทพ ท้องที่อำเภอเมืองปะทิว ท่าแซะและอำเภอสวี จังหวัดชุมพร ดังนี้ จำเลยที่ ๑ จึงมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ ซึ่งต้องมีหน้าที่ควบคุมจำเลยที่ ๒ ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับของโจทก์ และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนายมงคล แก้วแสงอ่อน พยานโจทก์ว่า การว่าจ้างให้บุคคลภายนอกเฝ้ารักษาไม้ของกลางนั้น ตามระเบียบของโจทก์ผู้ว่าจ้างต้องไปตรวจดูแลไม่ให้เสียหายจนกว่าจะขายได้ นายมงคล แก้วแสงอ่อน มีหน้าที่เช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ จึงเชื่อว่าต้องรู้ระเบียบเป็นอย่างดี ดังนั้น การที่นายปริยะ เมฆฉ่ำ ชำระค่าปรับจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาทไว้แล้ว จึงหาเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ พ้นจากความรับผิดชอบไม่ ส่วนที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า ตามหนังสือรับสภาพหนี้ของนายปริยะ เมฆฉ่ำ ได้ชำระเงินให้โจทก์จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นการชำระหนี้บางส่วน โดยโจทก์ไม่ได้ฟ้องนายปริยะ เมฆฉ่ำ ให้รับผิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิหักชำระเป็นดอกเบี้ยไว้ก่อน ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อนายปริยะ เมฆฉ่ำ ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดซึ่งตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยโดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีเสียก่อน สิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยหาเกิดจากการที่จะต้องฟ้องคดีเสียก่อนดังข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ไม่
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า ตามคำสั่งขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ที่ ๒๑๗/๒๕๒๙ เรื่อง ให้ตัดเงินเดือนนายเอิบ ชูกำเนิด และนายอำนวย มธุโรรส ในตอนท้ายของข้อ ๑ มีความว่า หากโจทก์ไม่สามารถเรียกชดใช้ค่าเสียหายจากผู้รับจ้างได้หรือขาดจำนวนไปเท่าใด ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้คืนให้แก่โจทก์คนละกึ่งหนึ่งด้วย แต่ตามคำฟ้องปรากฏว่าโจทก์ได้ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๓๓๙,๐๘๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จึงไม่ตรงกับเจตนารมย์ของโจทก์ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปฏิบัติผิดต่อข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง แบบแผนและวิธีปฏิบัติงานและไม่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ดังหนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากจำเลยคนหนึ่งคนใดทั้งหมดหรือโดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือกและจำเลยทั้งสองยังคงต้องผูกพันอยู่จนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๑ การที่โจทก์สั่งให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายคนละกึ่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เท่านั้น หากจำเลยคนหนึ่งคนใดยินยอมชำระให้กึ่งหนึ่งตามคำสั่งดังกล่าว โจทก์ก็อาจพิจารณาไม่ดำเนินคดีกับจำเลยผู้ชำระหนี้นั้นต่อไป แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระก็หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๑ ไม่ กรณีจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด
สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ข้อแรกมีว่า ความรับผิดในข้อหาละเมิดกับข้อหาผิดสัญญาจ้างแรงงานแตกต่างกัน คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดโดยตรง จะนำอายุความในเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานซึ่งมีระยะยาวกว่ามาใช้บังคับมิได้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกินหนึ่งปี คดีจึงขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๒ ลูกจ้างของโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง แบบแผนและวิธีปฏิบัติงานของโจทก์อันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานรวมอยู่ด้วย กรณีหาใช่เป็นเรื่องจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์เพียงประการเดียวไม่ และการปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตามมาตรา ๑๖๔ ซึ่งกำหนดอายุความไว้สิบปี จะนำอายุความในเรื่องละเมิดมาใช้บังคับแต่เพียงประการเดียวมิได้ กรณีต้องใช้อายุความสิบปีดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ส่วนที่จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์ลงโทษด้วยการตัดเงินเดือนไปแล้วก็ย่อมเป็นอันยุติ โจทก์ไม่อาจเรียกร้องในคดีนี้ได้ เห็นว่าการที่โจทก์ลงโทษจำเลยที่ ๒ เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ กระทำผิดวินัยตามข้อบังคับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ฉบับที่ ๗ ว่าด้วยวินัย การสอบสวนและการลงโทษสำหรับพนักงานและคนงานซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ หาเป็นเหตุลบล้างสิทธิเรียกร้องของโจทก์ซึ่งมีอยู่ตามกฎหมายไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ ได้
ฯลฯ
พิพากษายืน

Share