แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แต่ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่า จำเลยได้โอนขายที่ดินตามโฉนดฉบับที่จำเลยนำไปมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ โดยรู้อยู่ว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดตามกฎหมายหลายกรรม คือ จำเลยนำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระราชวังว่า โฉนดที่ดินเลขที่ ๔๐๖๑๔ เลขที่ดิน ๓๐๘ ตำบลสวนหลวงที่ ๘ พระโขนงฝั่งเหนือ ถนนพัฒนาการ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้ตกหายไป ซึ่งความจริงโฉนดที่ดินดังกล่าวมิได้ตกหาย แต่จำเลยมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยกู้ไปจากโจทก์ การแจ้งความเท็จดังกล่าวของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครขอให้ออกใบแทนโฉนดที่สูญหาย โดยจำเลยใช้และอ้างเอกสารการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนแสดงเป็นพยานหลักฐาน ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อและออกใบแทนโฉนดดังกล่าวให้ ครั้นเมื่อสัญญากู้เงินถึงกำหนดชำระ โจทก์ทวงถาม แต่จำเลยเพิกเฉยและได้กู้เงินโจทก์ไปอีกหลายคราวรวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น ๔๙๒,๕๘๑ บาท ในที่สุดโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งเพื่อให้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด และจำเลยได้ขอผ่อนชำระ ศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เมื่อถึงกำหนดผ่อนชำระจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ ปรากฏว่าจำเลยได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๐๖๑๔ ให้แก่ พ. ไปก่อนแล้ว ในระยะเวลาที่โจทก์ทวงถามจำเลยแต่ก่อนจะฟ้องคดี โดยใช้โฉนดที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้จัดทำขึ้นใหม่ตามที่จำเลยอ้างว่าฉบับเดิมสูญหายแสดงเป็นหลักฐานการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่มีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่จำเลยกู้เงินโจทก์โดยมีเจตนาโอนทรัพย์ที่ประกันเงินกู้ไปให้ผู้อื่นโดยทุจริต ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถได้รับชำระหนี้ตามคำขอบังคับของศาลที่ให้ขายทอดตลาดที่ดินตามโฉนดดังกล่าวขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๒๖๗, ๒๖๘, ๓๕๐ และ ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๐ ให้ลงโทษจำคุก ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๐ จะต้องปรากฏว่า ผู้กระทำได้กระทำโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ ไม่ปรากฏข้อความในตอนใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้โอนขายที่ดินตามโฉนดฉบับที่จำเลยนำไปมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ที่โจทก์ฟ้องนั้นไปโดยจำเลยรู้อยู่ว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตน ได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้รายนี้ แม้ตามหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ ๓ ฉบับ(เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑๒ ถึง ๑๔) ก็ไม่ปรากฏข้อความว่ากำหนดให้จำเลยชำระเมื่อใด และถ้าหากจำเลยไม่ชำระภายในกำหนดโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลโดยฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำโดยรู้ว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ในข้อสารสำคัญ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๕)
พิพากษายืน