แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฟังความเบื้องต้นต่างกัน แต่ในที่สุดศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดดังข้อที่โจทก์กล่าวหา ดังนี้ โจทก์จะฎีกาไม่ได้ ต้องห้าม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 219
ย่อยาว
คดี ๒ สำนวนนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษารวมกันมา
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยยักยอกทรัพย์ของนางเสงี่ยมโจทก์ ขอให้ลงโทษตามก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๔
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์ที่หาว่าจำเลยยักยอกเป็นของจำเลยเอง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์ที่หาว่ายักยอกเดิมเป็นของจำเลยจริง เนื่องจากจำเลยเอาไปขายฝากไว้กับพระยาอธิกรณ์ ๆ แล้วไม่ได้ไถ่คืนในกำหนด ของหลุดเป็นสิทธิแก่พระยาอธิกรณ์ ๆ ยกให้นางเสงี่ยม โจทก์ จึงถือว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิรายนี้ แต่ภายหลังนางเสงี่ยมคืนทรัพย์รายนี้ให้แก่จำเลยไปเด็ดขาด โดยเจตนาเพียงแต่ให้จำเลยเอาเงินมาชำระมูลหนี้เดิม ๓๐๐๐๐ บาทแต่อย่างเดียวเท่านั้น จำเลยจะเอาทรัพย์นั้นไปขายหรือทำอะไรก็ตาม หาใช่เรื่องยักยอกไม่จึงพิพากษายืน
อัยยการและนางเสงี่ยมฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังความเบื้องต้นต่างกันอยู่ก็จริง แต่ในที่สุดศาลเดิมศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดดังข้อที่โจทก์กล่าวหา เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์จะฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา ๒๑๙ ป.ม.วิ.อาญา
พิพากษาให้ยกฎีกาอัยยการและนางเสงี่ยม โจทก์