คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมเคยยื่นฟ้องจำเลยในความผิดกรณีเดียวกันนี้ต่อศาลชั้นต้น ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องทนายโจทก์คดีดังกล่าวแถลงต่อศาลว่าไม่มีพยานมาสืบ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันความผิดของจำเลย คดีจึงไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้องซึ่งมีผลเช่นเดียวกับการพิพากษายกฟ้องโดยศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรกจึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญานี้มาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) หาใช่เป็นคดีที่ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวพิพากษายกฟ้องโดยโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรก ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334และคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 52,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ และจำเลยยื่นคำร้องว่า กรณีเดียวกันนี้นางสาวอัมรา ธิติธรรมรักษา ผู้เสียหายได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขดำที่ 7345/2535 ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวพิพากษายกฟ้อง จึงถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป
ระหว่างพิจารณานางสาวอัมรา ธิติธรรมรักษา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของ จำเลยแล้ว เห็นว่า ผู้เสียหาย(โจทก์ร่วม) ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดเดียวกันนี้ และศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในหนังสือท้ายฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า คดีที่โจทก์ร่วมฟ้องจำเลยนั้นจะถือว่าศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องอันจะเป็นผลให้สิทธินำคดีอาญานี้มาฟ้องย่อมระงับไปได้หรือไม่ เห็นว่า คดีที่โจทก์ร่วมฟ้องจำเลยนั้น ทนายโจทก์ในคดีดังกล่าวแถลงต่อศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องว่า ไม่มีพยานมาสืบศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ (โจทก์ร่วม) ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันความผิดของจำเลย จึงวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ (โจทก์ร่วม)ไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้อง ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับการพิพากษายกฟ้องโดยศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรก จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญานี้มาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)หาใช่เป็นคดีที่ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวพิพากษายกฟ้องโดยโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166 วรรคแรก ดังโจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share