คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การโอนขายห้องพิพาทโดยผู้รับโอนจะใช้เป็นที่ค้าขาย มิใช่เพื่อรื้อเอาไป ห้องพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อการโอนขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๓, ๔, ๕, ๖ ในฐานะทายาทและจำเลยร่วม ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเต่ยหรือวันชัย วัฒนนภาเกษม ผู้ตาย ร่วมกันชำระหนี้ตามเช็ค ๕๔,๐๐๐ บาท กับค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยดังกล่าวไม่ชำระโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องแถวไม้สองชั้นเลขที่ ค.๑๕ – ๑๖ สองห้อง เลขที่ จ.๓ (บ้านเลขที่ ๓) หนึ่งห้อง
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ขึ้นว่า ห้องแถวไม้เลขที่ ค.๑๕ – ๑๖ และเลขที่ จ.๓ ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึด ไม่ใช่ของจำเลย เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องได้มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิ์โดยสุจริต ขอให้ปล่อยการยึด
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย การโอนทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับผู้ร้องไม่สุจริต สมยอมกันฉ้อฉลโจทก์ ไม่มีการชำระราคา ทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า (ข้อเท็จจริง) รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมผู้จัดการมรดกของนายเต่ยหรือวันชัยได้โอนขายห้องพิพาททั้งสามห้องมรดกของนายเต่ยหรือวันชัยให้ผู้ร้องโดยได้รับอนุญาตจากกรมประชาสงเคราะห์เจ้าของที่ดิน แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ร้องรับโอนห้องพิพาทจากจำเลยร่วม มิใช่เพื่อรื้อเอาไป แต่เพื่อใช้เป็นที่ค้าขายเครื่องดื่มและค้าของชำ และรับโอนยังไม่ครบ ๑๐ ปี ห้องพิพาททั้งสามห้องเป็นอสังหาริมทรัพย์ การโอนขายเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๕๖ กรรมสิทธิ์ในเรือนพิพาทจึงยังเป็นของจำเลยที่ ๓, ๔, ๕, ๖ อยู่ ไม่ใช่ของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิ์ร้องขัดทรัพย์
พิพากษายืน

Share