คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4383/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน แต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่าผู้ถือจึงเป็นเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือด้วย หากมีการสลักหลังเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921 ประกอบด้วยมาตรา 989 จึงบัญญัติว่าเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย หาได้ถือว่าเป็นผู้สลักหลังไม่ ดังนั้น การที่โจทก์สลักหลังเช็คพิพาท ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเพื่อเรียกเก็บเงินผ่านบัญชีของผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ หรือโอนเช็คพิพาทไป เมื่อเช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้เช็คพิพาทกลับมาครอบครอง โจทก์ย่อมมีฐานะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ตามมาตรา 904ไม่อยู่ในฐานะผู้สลักหลัง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายภายในอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดตามมาตรา 1002 ไม่ใช่กรณีที่จะบังคับตามมาตรา 1003ซึ่งมีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่ผู้สลักหลังถือเอาตั๋วเงินและใช้เงิน
ผู้ทรงเช็คที่จะมีอำนาจฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็ค มิได้จำกัดเฉพาะผู้ทรงเช็คขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้น ผู้ที่รับโอนเช็คมาโดยสุจริตหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็เป็นผู้ทรงเช็คที่มีอำนาจฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คได้ ดังนั้น โจทก์จะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหรือไม่ แต่เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทขณะยื่นฟ้อง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณกลางปี 2540 จำเลยสั่งจ่ายเช็คหลายฉบับรวมทั้งเช็คพิพาท 5 ฉบับ คือ เช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเพชรบุรี ลงวันที่15 สิงหาคม 2540 จำนวนเงิน 500,000 บาท เช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนวิภาวดีรังสิต ลงวันที่ 15 กันยายน 2540 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2540 และลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 จำนวนเงินฉบับละ 500,000 บาท และเช็คธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) สาขาถนนวิภาวดีรังสิต ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2540 จำนวนเงิน 492,175 บาท ให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นของโจทก์ที่มีอยู่ในบริษัทโรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ จำกัด เมื่อเช็คทั้งห้าฉบับถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์นำเข้าบัญชีของผู้มีชื่อซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,647,231.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,492,175 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้งห้าฉบับระงับไปแล้ว เช็คพิพาททั้งห้าฉบับเป็นเช็คขีดคร่อมสั่งจ่ายให้โจทก์แต่โจทก์ไม่นำเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน กลับสลักหลังโอนให้แก่บุคคลอื่นขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ซึ่งเป็นผู้สลักหลังเช็คนำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่ได้รับเช็คทั้งห้าฉบับคืนมา คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 2,492,175 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2540 ของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันที่ 16 กันยายน 2540 ของต้นเงิน 500,000 บาทนับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2540 ของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน2540 และของต้นเงิน 492,175 บาท นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 สิงหาคม 2541) ต้องไม่เกิน 155,056.07 บาท ตามที่โจทก์ขอ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งห้าฉบับให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ เป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไประบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินแต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่าผู้ถือ โจทก์ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาททั้งห้าฉบับ เช็คพิพาททั้งห้าฉบับถูกนำเข้าบัญชีของผู้อื่นเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าเช็คพิพาททั้งห้าฉบับระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน แต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่าผู้ถือ ดังนั้นเช็คพิพาททั้งห้าฉบับจึงเป็นเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือด้วย ย่อมโอนได้ด้วยการส่งมอบ ไม่จำเป็นต้องสลักหลัง หากมีการสลักหลังเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 921 ประกอบด้วยมาตรา 989 จึงบัญญัติว่า เป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย หาได้ถือว่าเป็นผู้สลักหลังตามกฎหมายไม่ ดังนั้น การที่โจทก์สลักหลังเช็คพิพาททั้งห้าฉบับ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเพื่อเรียกเก็บเงินผ่านบัญชีของผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ตามที่โจทก์อ้าง หรือโอนเช็คพิพาททั้งห้าฉบับไปตามที่จำเลยอ้าง เมื่อเช็คพิพาททั้งห้าฉบับถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้เช็คพิพาทกลับมาอยู่ในความยึดถือครอบครอง โจทก์ย่อมมีฐานะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งห้าฉบับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ไม่อยู่ในฐานะผู้สลักหลัง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายภายในอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่เช็คพิพาทแต่ละฉบับถึงกำหนด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ไม่ใช่กรณีที่จะบังคับตามมาตรา 1003ซึ่งมีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่ผู้สลักหลังถือเอาตั๋วเงินและใช้เงิน คดีไม่ขาดอายุความส่วนที่จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาททั้งห้าฉบับขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า ผู้ทรงเช็คที่จะมีอำนาจฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็ค มิได้จำกัดเฉพาะผู้ทรงเช็คขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้น ผู้ที่รับโอนเช็คมาโดยสุจริตหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็เป็นผู้ทรงเช็คที่มีอำนาจฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คได้ ดังนั้น โจทก์จะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งห้าฉบับขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งห้าฉบับขณะยื่นฟ้องคดีนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share