คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4367/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีเจตนาฆ่าพวกผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนเล็งยิงผู้เสียหายทั้งสี่ในระยะกระชั้นชิดแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า แต่อาวุธปืนนั้นมีสภาพชำรุดใช้การไม่ได้ จึงไม่สามารถใช้ยิงพวกผู้เสียหายทั้งสี่ให้ถึงแก่ความตายได้ กรณีต้องปรับด้วย ป.อ. มาตรา 81
ความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง , 72 ทวิ วรรคสอง กฎหมายมิได้จำกัดเฉพาะว่าอาวุธปืนนั้นจะต้องใช้ยิงได้จึงเป็นความผิด และตามความคาดคิดของบุคคลทั่วไป หากไม่ล่วงรู้มาก่อนย่อมต้องนึกว่าอาวุธปืนดังกล่าวสามารถประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายได้ แม้อาวุธปืนนั้นไม่อาจใช้ยิงได้ คนร้ายก็อาจนำไปใช้ประกอบอาชญากรรมทั่วไปได้ หากจะแปลว่าต้องใช้บังคับเฉพาะอาวุธปืนที่ใช้ยิงได้เท่านั้น ผู้มีเจตนาร้ายอาจอาศัยช่องว่างของกฎหมายแยกชิ้นส่วนปืนออกแล้วพกพานำไปประกอบเข้าด้วยกันในภายหลัง โดยถือว่าการพาไปเช่นนั้นไม่เป็นความผิดความประสงค์ของบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก็จะไร้ผล ดังนั้น เมื่ออาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธตามความหมายของกฎหมายและจำเลยพาติดตัวไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดแล้ว แม้อาวุธปืนนั้นใช้ยิงไม่ได้ก็ถือว่าจำเลยกระทำความผิดแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๓ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับนายสมาน แซ่ดาหรือแซ่คา จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๐๒/๒๕๓๔ ของศาลชั้นต้น ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาวขนาดเบอร์ ๑๒ เครื่องหมายทะเบียนปืน กท.๕๔๒๙๓ จำนวน ๑ กระบอก และกระสุนปืนขนาดเบอร์ ๑๒ จำนวน ๑ นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตแล้วไว้ในครอบครองโดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย จำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง และตามถนนในหมู่บ้านภาณุช อันเป็นทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาให้มีอาวุธปืนติดตัว และโดยไม่มีเหตุอันควร และไม่เป็นกรณีที่ต้องมีอาวุธติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยกับพวกโดยมีเจตนาฆ่า ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายสุระ นานา นางสุนิสา นานา นายมนตร์โพธิ์บริสุทธิ์ และนางจันทรา นานา ผู้เสียหายทั้งสี่ จำเลยกับพวกร่วมกันลงมือกระทำความผิด โดยใช้อาวุธปืนเล็งและลั่นไกยิงไปที่ผู้เสียหายทั้งสี่แล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนด้าน ผู้เสียหายทั้งสี่จึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก เจ้าพนักงานจับนายสมานได้พร้อมอาวุธปืนและกระสุนปืนที่จำเลยและนายสมานมีไว้และใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ , ๘๐ , ๘๓ , ๙๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗ , ๘ ทวิ , ๗๒ , ๗๒ ทวิ ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ , ๘๑ ลงโทษจำคุก ๗ ปี ๖ เดือน ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง , ๗๒ ทวิ วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง จำคุก ๑ เดือน สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ให้จำคุก ๒ ปี รวมจำคุก ๒ ปี ๑ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายทั้งสี่มีเรื่องโต้เถียงกันกับจำเลยที่บ้านของผู้เสียหายที่ ๓ และที่ ๔ ขณะนั้นมีนายสมาน แซ่ดาหรือแซ่คา อยู่ที่บริเวณที่ เกิดเหตุด้วย และหลังจากเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสมานและยึดอาวุธปืนของกลางซึ่งไม่อาจใช้ยิงได้เพราะระบบลั่นไกชำรุด โดยอาวุธปืนของกลางเดิมเป็นของพระยากัลยาณวัฒนวิศิษฎ์บิดาของจำเลยตามใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนเอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งต่อมาอาวุธปืนของกลางดังกล่าวตกเป็นมรดกได้แก่จำเลย
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางจันทรา นานา ผู้เสียหายที่ ๒ กับนางสุนิสา นานา ผู้เสียหายที่ ๓ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา จำเลยมากดกริ่งที่หน้าบ้าน นายสุระ นานาผู้เสียหายที่ ๑ ได้ออกไปพบจำเลย จำเลยซึ่งมีอาการเมาสุราได้บอกให้ผู้เสียหายที่ ๑ นำรถยนต์ไปจอดไว้ในบ้าน แต่ผู้เสียหายที่ ๑ บอกกับจำเลยว่าไม่ได้จอดรถยนต์เกะกะให้จำเลยกลับไปนอน จำเลยยอมกลับไปต่อมามีวัยรุ่นประมาณ ๓ ถึง ๔ คน ได้มาถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีก ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ออกไปที่นอกรั้วหน้าบ้าน โดยผู้เสียหายที่ ๑ บอกวัยรุ่นที่มาว่าคนเมามาสั่งให้เลื่อนรถยนต์ ระหว่างนั้นจำเลยได้กลับมาอีกโดยถืออาวุธปืนยาวมาด้วย พอมาอยู่ห่างจากพวกผู้เสียหายทั้งสี่ประมาณ ๕ เมตร
จำเลยได้ยกอาวุธปืนเล็งยิงมาที่กลุ่มพวกผู้เสียหาย พร้อมกับมีเสียงดังแชะ วัยรุ่นคนหนึ่งได้วิ่งเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากจำเลยและเล็งยิงมาที่กลุ่มผู้เสียหายอีกโดยมีเสียงดังแชะอีกด้วย ผู้เสียหายที่ ๑ จึงเข้าไปแย่งอาวุธปืนดังกล่าวจากวัยรุ่นคนนั้น เห็นว่า ตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.๘ ขณะที่จำเลยเล็งอาวุธปืนไปที่กลุ่มผู้เสียหายและมีเสียงดังแชะ จำเลยอยู่ห่างจากกลุ่มผู้เสียหายทั้งสี่ประมาณ ๗ เมตร เท่านั้น และลักษณะที่จำเลยนำอาวุธปืนมาเพื่อจะยิงพวกผู้เสียหายก็เป็นการนำมาทันทีหลังจากที่เกิดโต้เถียงกับกลุ่มผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าพวกผู้เสียหาย
เพราะหากจำเลยทราบมาก่อนว่าอาวุธปืนใช้ยิงไม่ได้ จำเลยคงไม่กลับไปเอาอาวุธปืนย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุอีกครั้ง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนเล็งยิงผู้เสียหายทั้งสี่ในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่าอาวุธปืนนั้นมีสภาพชำรุดใช้การไม่ได้ จึงไม่สามารถใช้ยิงพวกผู้เสียหายทั้งสี่ให้ถึงแก่ความตายได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่ากรณีต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๑ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีอาวุธปืนชำรุดไม่อาจใช้ยิงได้และพาไปในทางสาธารณะย่อมจะไม่เป็นความผิดนั้น เห็นว่า ความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น กฎหมายมิได้จำกัดเฉพาะว่าอาวุธปืนนั้นจะต้องใช้ยิงได้ จึงจะเป็นความผิด และตามความคาดคิดของบุคคลทั่วไป หากไม่ล่วงรู้มาก่อนย่อมต้องนึกว่าอาวุธปืนดังกล่าวสามารถประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายได้ แม้อาวุธปืนนั้นไม่อาจใช้ยิงได้คนร้ายอาจนำไปใช้ประกอบอาชญากรรมทั่วไปได้ หากจะแปลว่าต้องใช้บังคับเฉพาะอาวุธปืนที่ใช้ยิงได้เท่านั้น ผู้มีเจตนาร้ายอาจอาศัยช่องว่างของกฎหมายแยกชิ้นส่วนของอาวุธปืนออก แล้วพกพานำไปประกอบข้าด้วยกันในภายหลัง โดยถือว่าการพาไปเช่นนั้นไม่เป็นความผิด ความประสงค์ของบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก็จะไร้ผล ดังนั้น เมื่ออาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนตามความหมายของกฎหมายและจำเลยพาติดตัวไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดแล้ว แม้อาวุธปืนนั้นใช้ยิงไม่ได้ก็ถือว่าจำเลยกระทำความผิดตามกฎหมายแล้ว แต่เนื่องจากอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงพวกผู้เสียหายทั้งสี่นั้นเป็นอาวุธปืนที่ชำรุดใช้การไม่ได้ ไม่อาจทำให้ผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับอันตรายแก่กาย ทั้งหลังจากเกิดเหตุจำเลยได้ไปขอขมาต่อผู้เสียหายที่ ๑ แสดงว่าจำเลยรู้สำนึกในการกระทำความผิดของตน ซึ่งต่อมาพวกผู้เสียหายทั้งสี่ต่างไม่ติดใจเอาความกับจำเลย ปัจจุบันจำเลยเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร อันเป็นอาชีพที่สุจริต จึงเห็นควรลงโทษจำเลยโดยสถานเบาลงไปอีก เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ทั้งขณะกระทำความผิดจำเลยมี
อายุถึง ๖๐ ปีเศษแล้ว โทษจำคุกจึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้ แต่เพื่อให้จำเลยสำนึกว่าเมื่อจำเลยกระทำความผิด จำเลยจะต้องได้รับโทษตามกฎหมายสถานใดสถานหนึ่ง จึงให้ลงโทษปรับจำเลยด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๑ จำคุก ๑ ปี และความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง โดยปรับ ๘,๐๐๐ บาท รวมจำคุก ๑ ปี ๑ เดือน และปรับ ๘,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share