แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทย์ฟ้องบรรยายกล่าวว่าจำเลยกระทำการโดยประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวัง มิได้ปฏิบัติตามระเบียบหน้าที่และคำสั่ง อันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยยักยอกเงินของทางราชการไป ทำให้โจทก์เสียหาย อันเป็นการแสดงชัดว่า โจทก์ขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดตามป.ม.แพ่งฯมาตรา 420 ฉะนั้นเมื่อปรากฎว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยภายหลัง 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ละเมิดแล้ว ก็ต้องถือว่าคดีขาดอายุความ
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องหาว่าทั้ง ๒ ประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังตามสมควร และฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งของกรมป่าไม้ เป็นเหตุให้สมุห์บัญชี กองป่าไม้ ในบังคับบัญชาของจำเลยยักยอกเงินของทางราชการไป รวมทั้งสิ้น ๓๒๘๐๖๔ บาท ๙๑ สตางค์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้จำเลยทั้ง ๒ ร่วมกันรับผิดชอบชดชดใช้ให้โจทก์
จำเลยทั้ง ๒ ปฏิเสธความรับผิด และต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยทั้ง ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์แสดงสภาพแห่งข้อหา และข้อกล่าวอ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นเรืองขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดขัดแย้ง คำบรรยายฟ้องกล่าวว่าจำเลยกระทำการโดยประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังมิได้ปฏิบัติตามระเบียบหน้าที่และคำสั่ง อันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้นายกำธรยักยอกเงินของทางราชการไป ทำให้โจทก์เสียหาย อันเป็นการแสดงชัดว่า เป็นความรับผิดฐานละเมิด ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๔๒๐ หามีข้อความอันใด แสดงไปในทางเป็นตัวการตัวแทนระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ ฉะนั้นเมื่อปรากฎว่าโจทก์ฟ้องคดีภายหลัง ๑ ปี นับแต่วันรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้ละเมิด คดีก็ขาดอายุความแล้ว ฯลฯ
จึงพิพากษายืน