แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาริบกัญชาของกลางไว้ในคดีอื่นแล้วและโจทก์มิได้ขอให้ริบในคดีนี้ ศาลจะพิพากษาให้ริบกัญชาของกลางอีกไม่ได้ เป็นการริบของกลางซ้ำและเกินคำขอ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองและนายประพันธ์ สุวรรณชาตรีจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1606/2530 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษไปแล้วได้ร่วมกันผลิตโดยการเพาะปลูกกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวนหลายต้น น้ำหนัก590 กิโลกรัม โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีกัญชาแห้ง จำนวน2 กระสอบ น้ำหนัก 6.95 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองกับพวกได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน แผ้วถาง ปลูกต้นยางพารา เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่บริเวณป่าควนเหรง ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับใบอนุญาตและมิได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ตามวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานยึดกัญชาสดและแห้งเป็นของกลาง ต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพากษาริบของกลางดังกล่าวไปแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่1606/2530 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7(5), 8, 26, 75, 76, 102 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7(5), 8, 26 วรรคสอง, 75,76 วรรคสอง, 102 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14, 31 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90 เรียงกระทงลงโทษฐานผลิตกัญชา จำคุกคนละ 5 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุกคนละ 5 ปี ฐานบุกรุกแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติจำคุกคนละ 1 ปีรวมจำคุกคนละ 11 ปี ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ส่วนกัญชาของกลางคงให้ริบ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาเพียงเท่านี้ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานผลิตกัญชาและมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่มีน้ำหนักที่จะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาให้ริบกัญชาของกลางด้วยนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาริบของกลางดังกล่าวไว้ในคดีอื่นแล้วและโจทก์มิได้ขอให้ริบในคดีนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ริบกัญชาของกลางด้วย จึงเป็นการริบของกลางซ้ำและเกินคำขอไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้ริบกัญชาของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3