คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4344/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำนิติกรรมปลอมแกล้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นหนี้จำเลยที่ 4 จำนวนอันไม่เป็นความจริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 แต่โจทก์มิได้บรรยายให้แน่ชัดว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำนิติกรรมปลอมเมื่อใด ส่วนวันเวลาที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องและตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้น เป็นพียงวันเวลาที่แสดงว่าโจทก์มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อใด และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโอนกรรมสิทธิ์ไปยังบุคคลอื่นเมื่อใดเท่านั้น จะถือเอาวันเวลาระหว่างข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบกันเพื่อจะให้เข้าใจเอาเองว่า ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้เกิดขึ้นในระหว่างวันและเวลาดังกล่าวหาได้ไม่ ถือไม่ได้ว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับวันเวลาที่เกิดการกระทำผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ครบถ้วนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับวันเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2537 และวันที่ 13 เมษายน 2537 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารตามฟ้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ทราบคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว หลังจากนั้นจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำนิติกรรมปลอมเพื่อให้จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าหนี้นำคดีมาฟ้องศาลและยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 230718, 230719 และ 227974 แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องโอนให้โจทก์ตามฟ้องออกขายทอดตลาด ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้โดยโจทก์ได้แนบสำเนาคำพิพากษาศาลแพ่งซึ่งระบุวันที่มีคำพิพากษาและสำเนาโฉนดที่ดินดังกล่าวซึ่งระบุว่าได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2544 การอ่านคำพิพากษาและการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินย่อมกระทำกันในเวลาราชการอันเป็นเวลากลางวัน ถือว่าโจทก์ได้บรรยายถึงวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดตามกฎหมายแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำนิติกรรมปลอมแกล้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นหนี้จำเลยที่ 4 จำนวนอันไม่เป็นความจริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แต่โจทก์มิได้บรรยายให้แน่ชัดว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำนิติกรรมปลอมเมื่อใด ส่วนวันเวลาที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องและตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้น เป็นเพียงวันเวลาที่แสดงว่าโจทก์มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อใด และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโอนกรรมสิทธิ์ไปยังบุคคลอื่นเมื่อใดเท่านั้น จะถือเอาวันเวลาระหว่างข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบกันเพื่อจะให้เข้าใจเอาเองว่า ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้เกิดขึ้นในระหว่างวันและเวลาดังกล่าวหาได้ไม่ ถือไม่ได้ว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกัยวันเวลาที่เกิดการกระทำผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ครบถ้วนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาโจทก์ข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share