คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกันกับผู้มีชื่อรวม 6 คน ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินดังกล่าว การดำเนินการของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการกระทำในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ ใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359
ในวันชี้สองสถานคู่ความตกลงท้ากันว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทจากแนวทิศเหนือเข้ามาทางแนวที่ดินของจำเลยที่ 1 หากรังวัดได้เป็นจำนวน 5 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา จำเลยทั้งสองยอมแพ้ หากรังวัดได้เกิน 5 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา ส่วนที่เกินหรือล้ำจำนวนให้ตกเป็นของจำเลยทั้งสอง หากการรังวัดไม่อาจทำได้เพราะมีการคัดค้านของเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้พิจารณาคดีไปโดยให้ถือว่าคำท้าไม่เป็นผล การท้ากันดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ ใช้สิทธิขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360
โจทก์ร่วมทั้งสี่ยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความ โดยอ้างว่าโจทก์ร่วมทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีโดยพลการ โจทก์ร่วมทั้งสี่จึงขอใช้สิทธิเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) แต่สิทธิในฐานะเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทโจทก์ร่วมทั้งสี่มีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้นไม่มีเหตุที่จะต้องได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามมาตรา 57 (1) แต่โจทก์ร่วมทั้งสี่ระบุในคำร้องตอนหนึ่งว่าโจทก์ร่วมทั้งสี่อาจได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์ทั้งสองโจทก์ร่วมทั้งสี่มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินร่วมกับโจทก์ทั้งสอง ตามคำร้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมทั้งสี่ร้องสอดเข้ามาด้วยความสมัครใจเอง เพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีตามมาตรา 57 (2) ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมทั้งสี่เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57 (1) แต่ให้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามมาตรา 57 (2)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 31 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา ร่วมกับผู้มีชื่อรวม 6 คน จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 202 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ประมาณเดือนมีนาคม 2542 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนแนวรั้ว สิ่งปลูกสร้าง และขนย้ายวัสดุสิ่งของต่างๆ ของจำเลยทั้งสองออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินของจำเลยที่ 1 ไม่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง เนื่องจากมีที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินว่างเปล่ากั้นอยู่และจำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทมานานเกิน 1 ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครอง ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกับห้ามโจทก์ทั้งสองพร้อมบริวารเกี่ยวข้อง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้การครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้ามาโดยไม่สุจริตเมื่อประมาณปลายเดือนมีนาคม 2542 และถูกโจทก์ทั้งสองโต้แย้ง จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา หลังจากคู่ความท้ากันแล้ว ผู้ร้องสอดทั้งสี่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความโดยอ้างว่าผู้ร้องสอดทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 31 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ร่วมกับโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท โดยผู้ร้องสอดทั้งสี่ไม่ทราบเรื่อง ผู้ร้องสอดทั้งสี่อาจได้รับความเสียหาย ผู้ร้องสอดทั้งสี่มีความประสงค์จะฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินพิพาท และถือเอาคำฟ้องและพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองเป็นของผู้ร้องสอดทั้งสี่ด้วย จึงขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 (1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดทั้งสี่เข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) เนื่องจากเห็นว่าผู้ร้องสอดทั้งสี่ใช้สิทธิร้องสอดในฐานะผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีเช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสอง ชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วม มิใช่คู่ความฝ่ายที่สาม
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งคำร้องสอดเช่นเดียวกับให้การและฟ้องแย้งโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชนะคดีไปตามคำท้าโดยให้ที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 3 ตารางวา ภายในกรอบสีเขียวตามแผนที่วิวาทตกเป็นของจำเลยทั้งสองห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์ร่วมทั้งสี่อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม แต่อนุญาตให้เป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ทั้งสอง ส่วนจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานระหว่างผู้ร้องสอดทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งในคำพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกันกับผู้มีชื่อรวม 6 คน ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 31 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินดังกล่าว การดำเนินการของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการกระทำในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ ใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกคือจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 และการที่ในวันชี้สองสถานคู่ความตกลงท้ากันว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทจากแนวทิศเหนือเข้ามาทางแนวที่ดินของจำเลยที่ 1 หากรังวัดได้เป็นจำนวน 5 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา จำเลยทั้งสองยอมแพ้และค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความให้เป็นพับ หากรังวัดได้เกิน 5 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา ส่วนที่เกินหรือล้ำจำนวนให้ตกเป็นของจำเลยทั้งสอง หากการรังวัดไม่อาจทำได้เพราะมีการคัดค้านของเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้พิจารณาคดีไปโดยให้ถือว่าคำท้าไม่เป็นผล การท้ากันดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ ใช้สิทธิขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 เพราะไม่ว่าผลการรังวัดที่ดินพิพาทจะเป็นเช่นใด ที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสองครอบครองร่วมกับโจทก์ร่วมทั้งสี่ก็ยังคงมีเนื้อที่ตามเดิมคือ 5 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา โจทก์ร่วมทั้งสี่ยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความโดยอ้างว่าโจทก์ร่วมทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวร่วมกับโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีโดยพลการ โจทก์ร่วมทั้งสี่จึงขอใช้สิทธิเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) โดยอ้างว่าเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองและบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีตามคำร้องไม่ใช่การร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความร่วมเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ เพราะสิทธิในฐานะเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทโจทก์ร่วมทั้งสี่มีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้น ไม่มีเหตุที่จะต้องได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) แต่การยื่นคำร้องดังกล่าวโจทก์ร่วมทั้งสี่ระบุในคำร้องตอนหนึ่งว่าโจทก์ร่วมทั้งสี่อาจได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์ทั้งสองโจทก์ร่วมทั้งสี่มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินร่วมกับโจทก์ทั้งสองตามคำร้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมทั้งสี่ร้องสอดเข้ามาด้วยความสมัครใจเอง เพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมทั้งสี่เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57 (1) แต่ให้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามมาตรา 57 (2) เมื่อโจทก์ร่วมทั้งสี่เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตาม มาตรา 57 (2) จึงต้องผูกพันตนโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามมาตรา 57 (2) และมีคำสั่งให้เรียกโจทก์ร่วมทั้งสี่เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57 (3) และคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานระหว่างโจทก์ร่วมทั้งสี่กับจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share