แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 เมื่อจำเลยได้ขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมตกแก่โจทก์ การที่จำเลยอยู่ในบ้านซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์จึงเป็นการละเมิด จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ หากจำเลยไถ่ถอนภายในกำหนดระยะเวลาแล้วโจทก์มิให้ไถ่ถอนก็ชอบที่จำเลยจะฟ้องร้องขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่อไป ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2543 จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 10831 พร้อมบ้านเลขที่ 61 ให้แก่โจทก์ในราคา 140,000 บาท มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันทำสัญญาขายฝาก จำเลยได้เช่าบ้านและที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ตกลงค่าเช่าเดือนละ 4,200 บาท จำเลยชำระค่าเช่าในเดือนแรกแล้วไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์อีก คิดถึงเป็นวันฟ้องเป็นเวลา 8 เดือน เป็นเงินค่าเช่า 33,600 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 3,360 บาท รวม 36,960 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระเงิน 36,960 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 33,600 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยและบริวารขนทรัพย์สินออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องอีกจนกว่าจะชำระค่าเช่าทั้งหมดและไถ่ถอนการขายฝากแล้ว กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาทหรือจนกว่าจะไถ่ถอนการขายฝาก
จำเลยให้การว่า จำเลยขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 10831 ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 140,000 บาท กำหนด 3 ปี แต่ไม่ได้ขายฝากบ้านเลขที่ 61 จำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าบ้านหรือที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยและไม่มีสิทธิให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินเนื่องจากยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาขายฝาก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 10831 ตำบลพังลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาในส่วนที่ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินขายฝากเสียนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 600 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เป็นเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2543 โดยมิได้ขายฝากบ้านเรือนซึ่งจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทด้วยและการอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการอยู่โดยละเมิด ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2544 โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 บัญญัติว่า “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อโดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้” ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมตกแก่โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยอยู่ในบ้านซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นการละเมิด จำเลยจึงย่อมไม่มีสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์จึงย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่ายังไม่ครบกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า หากจำเลยไถ่ถอนภายในกำหนดระยะเวลาแล้วโจทก์มิให้ไถ่ถอนก็ชอบที่จำเลยจะฟ้องร้องขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่อไป หาได้เกี่ยวข้องกับเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.