คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4338/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชัยนาท แต่ได้ประกอบธุรกิจด้วยตนเองในรูปบริษัทจำกัด อยู่ในท้องที่เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร จนถึงวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยก็ยังคงดำเนินธุรกิจดังกล่าวอยู่ ดังนี้ เมื่อที่ตั้งบริษัทที่จำเลยประกอบธุรกิจอยู่นั้น อยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งธนบุรี โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 880,000 บาทโดยจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้สลักหลังนำมาชำระหนี้เงินยืมโจทก์โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน955,000 บาท แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามหลายครั้ง จำเลยทั้งสองเพิกเฉยและหลบหนี มีพฤติการณ์เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้สั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การว่า มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดชัยนาท และมิได้ประกอบธุรกิจอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น (ศาลแพ่งธนบุรี)ในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องหรือภายใน 1 ปี ก่อนหน้านั้น ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อไปโดยไม่ทราบว่าจะต้องรับผิด หากต้องรับผิดก็สามารถชำระหนี้ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชัยนาท ศาลแพ่งธนบุรีซึ่งเป็นศาลชั้นต้นที่พิจารณาพิพากษาคดีนี้ จึงไม่มีเขตอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ในข้อนี้จำเลยที่ 1 มีสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.5 มาแสดงเป็นหลักฐานว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 20 หมู่ที่ 1 ตำบลดอนกำ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท แต่ฝ่ายโจทก์ก็มีสำเนาคำขอจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทจำกัด2 ชุด ซึ่งนายทะเบียนส่งมาเป็นหลักฐานแสดงว่า จำเลยที่ 1 กับนางนวพรรณ ดอนโพธิ์งาม ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทดอนโพธิ์งาม จำกัดบริษัทนวทรัพย์ จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2523 และสิงหาคม2526 ตามลำดับ เพื่อทำธุรกิจโดยมีสำนักงานอยู่ที่อาคารเลขที่457/76 ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร มีจำเลยที่ 1 กับนางนวพรรณเป็นกรรมการผู้มีอำนาจดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 จำนวน 8 แผ่น พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 เองก็เบิกความยอมรับ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชัยนาท แต่ได้ประกอบธุรกิจด้วยตนเองในรูปบริษัทจำกัดอยู่ในท้องที่เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งธนบุรี นอกจากนี้โจทก์มีสัญญาเช่าหมายเลขโทรศัพท์ เอกสารหมาย จ.6 ซึ่งระบุชัดว่า เมื่อวันที่24 มิถุนายน 2531 จำเลยที่ 1 ได้จัดการเช่าโทรศัพท์ จำนวน 2เลขหมายให้แก่บริษัทดอนโพธิ์งาม จำกัด พฤติการณ์ส่อแสดงว่า ในวันที่ 13 มิถุนายน 2531 อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1ยังคงดำเนินธุรกิจของบริษัทดอนโพธิ์งาม จำกัด อยู่ ณ ที่ตั้งบริษัท พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 บัญญัติว่า”การยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย ให้ยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขต หรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอ หรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น” การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1ต่อศาลแพ่งธนบุรี จึงเป็นการฟ้องต่อศาล ที่จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจอยู่ในเขตในขณะยื่นคำฟ้อง ตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีได้นั้น ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share