คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การซื้อขายพระพุทธรูปอันเป็นสังหาริมทรัพย์ย่อมสมบูรณ์เพียงเมื่อผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขาย หาจำต้องทำเป็นหนังสือสัญญาหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือไว้แต่อย่างใดไม่ แม้การซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 จะมิได้ทำเอกสารหมาย จ.1 ไว้ก็ย่อมสมบูรณ์แล้ว ไม่ปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.1 มีระบุข้อความว่าให้จำเลยที่ 1มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และจำเลยที่ 1 ตกลงจะทำการดังนั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 797 แห่ง ป.พ.พ. สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาซื้อขายมิใช่สัญญาตัวแทน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือซื้อพระกำแพงศอก (ปางทุ่งเศรษฐี) เนื้อชินเงิน 1 องค์ราคา 90,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระราคา จำเลยที่ 1 ได้รับพระกำแพงศอกไปจากโจทก์แล้วในวันเดียวกัน โดยยังมิได้ชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระราคา จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายหน้าขายพระพุทธรูปจำเลยที่ 2 แนะนำให้จำเลยที่ 1 รู้จักกับโจทก์ โจทก์ตกลงมอบพระพุทธรูปตามฟ้องให้จำเลยที่ 1 ไปขายโดยจะให้ค่านายหน้าและให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาตามฟ้องไว้เพื่อเป็นประกันว่าจำเลยที่ 1 ขายพระพุทธรูปได้แล้วจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในวงเงิน 90,000 บาท จำเลยที่ 1 นำพระพุทธรูปของโจทก์ไปขายไม่ได้ จึงนำพระมาคืนโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับคืน
จำเลยที่ 2 ให้การรับตามฟ้อง แต่ขอให้บังคับเอาจากจำเลยที่ 1 ก่อน
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2ชำระแทน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
นายทองดี จานสิบสี ยื่นคำร้องว่า โจทก์ถึงแก่กรรมแล้วผู้ร้องเป็นภรรยาของโจทก์ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2528 จำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองการซื้อขาย เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความว่า จำเลยที่ 1 ได้มาตกลงเช่าซื้อพระกำแพงศอก 1 องค์ ราคา 90,000 บาท จากโจทก์โดยยังไม่ได้ชำระเงิน และจำเลยที่ 2 รับรองว่าหากจำเลยที่ 1ไม่นำเงินมาชำระแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับใช้จำนวนเงินดังกล่าวแทน โจทก์ได้มอบพระกำแพงศอกให้จำเลยที่ 1 แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 นำพระกำแพงศอกมาคืนโจทก์ โจทก์ไม่ยอมรับคืน ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1 ซื้อพระกำแพงศอกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จากข้อความในเอกสารหมาย จ.1 ประกอบพฤติการณ์ที่โจทก์ได้มอบพระกำแพงศอกให้จำเลยที่ 1 ดังกล่าวเพียงพอให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ซื้อพระกำแพงศอกไปจากโจทก์แล้ว และการซื้อขายพระพุทธรูปอันเป็นสังหาริมทรัพย์ย่อมสมบูรณ์เพียงเมื่อผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขาย หาจำต้องทำเป็นหนังสือสัญญาหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือไว้แต่อย่างใดไม่ ฉะนั้นแม้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 จะมิได้ทำเอกสารหมาย จ.1 ไว้ก็ย่อมสมบูรณ์แล้วที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นเพียงสัญญาตัวแทนเพื่อให้จำเลยที่ 1 นำพระดังกล่าวไปขายที่กรุงเทพมหานครนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.1 ระบุข้อความว่าให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และจำเลยที่ 1 ตกลงจะทำการดังนั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา797 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหากจำเลยประสงค์ให้เอกสารดังกล่าวเป็นสัญญาตัวแทนจริง จำเลยก็น่าที่จะให้นายมนัส พรหมสุวรรณผู้เขียนได้เขียนข้อความเช่นนั้นให้ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1 ด้วยแต่จำเลยก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาซื้อขาย หาใช่สัญญาตัวแทนดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาทรัพย์สินที่ซื้อขายแก่โจทก์จึงชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share