คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นจำนวนไม่เกิน 150,000 บาท จำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอเพิ่มจำนวนเงินเบิกเกินบัญชีอีก 150,000 บาท และขอต่ออายุสัญญาอีก 2 ครั้ง จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับทราบถึงการขอต่ออายุสัญญา และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ด้วย ครั้งหลังสุดจำเลยที่ 1 ยอมรับว่ายังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 1,163,475.31 บาท จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับทราบถึงการขอต่ออายุสัญญานี้ และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต่อไปตามข้อกำหนดแห่งสัญญาที่ได้ทำไว้นั้น ดังนี้ จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 1,163,475.31 บาท ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ครั้งหลังสุด ตามที่จำเลยที่ 2 ยินยอมเข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 ด้วย (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2503 จำเลยที่ 1 ได้กู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ วันที่ 14 ธันวาคม 2503 จำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือเพิ่มวงเงินสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีก 150,000 บาท โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ได้เพิ่มวงเงินตามคำขอนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีก 2 ครั้งโดยจำเลยที่ 2 ได้รับรู้ในจำนวนหนี้สินและยินยอมให้การต่ออายุสัญญากู้แต่ละครั้งนี้ด้วย เมื่อครบกำหนดอายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครั้งสุดท้ายแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงิน รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 3,322,462.83 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระให้โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีไม่ถึง 300,000 บาท หากจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดก็เพียงเท่ายอดที่จำเลยที่ 1 เบิกไปเท่านั้น ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2505 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยผิดนัด โจทก์ไม่มีสิทธิจะคิดดอกเบี้ยได้เกิน 5 ปี จำเลยที่ 2 มีหุ้นอยู่ในบริษัทแบงค์ตันเปงชุน จำกัด 2,746,417.80 บาท หากจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิด ก็ขอหักหนี้กับโจทก์

ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามบัญชีเดินสะพัดเป็นเงิน 1,216,407.24 บาท เป็นหนี้ตามเช็คเป็นเงิน 1,740,000 บาท จำเลยที่ 1 ยอมชดใช้ให้โจทก์ คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 โจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ทุกฉบับโดยต่างไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 2,956,407.24 บาท และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้เงิน 1,216,407.24 บาท ตามบัญชีเดินสะพัดให้โจทก์

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินแก่โจทก์ โดยร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงิน 1,163,475.31 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2504 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2505 โดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือน และนับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2505 ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2505 คิดดอกเบี้ยตามปกติไม่ทบต้น นอกจากที่แก้ให้คงไว้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารท้ายฟ้องปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2503 เป็นจำนวนไม่เกิน 150,000 บาท จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์ ใจความว่า ขอทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่ 15 กันยายน 2503 โดยยอมเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย และยอมรับเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ที่จะปฏิบัติตามสัญญาที่ลูกหนี้ได้กระทำไว้กับโจทก์ทุกประการ ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2503 จำเลยที่ 1 ขอต่ออายุสัญญา และขอเพิ่มจำนวนเงินเบิกเกินบัญชีอีก 150,000 บาท โดยให้ผู้ค้ำประกันคนเดิมประกันต่อไป แล้วในวันที่ 12 มิถุนายน 2504 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือขอต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 300,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 รับว่ายังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่จนถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2504 เป็นเงิน 242,685.56 บาท แล้วขอต่อไปอีก 6 เดือน จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อทราบถึงการขอต่ออายุสัญญาฉบับนี้ และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ และได้ยินยอมเข้าค้ำประกันผู้กู้ต่อไปตามข้อกำหนดในสัญญาที่ได้ทำไว้นั้น ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2504 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือขอต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ไปอีก 6 เดือน ในสัญญานี้จำเลยที่ 1 รับว่ายังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 1,163,475.31 บาท จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อรับทราบถึงการขอต่ออายุสัญญานี้ และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์และยินยอมเข้าค้ำประกันผู้กู้ต่อไปตามข้อกำหนดแห่งสัญญาที่ได้ทำไว้นั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 1,163,475.31 บาท ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ครั้งหลังสุด ตามที่จำเลยที่ 2 ได้ยินยอมเข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1

พิพากษายืน

Share