คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถโดยประมาทชนโจทก์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสแต่โจทก์เดินข้ามถนนมาหยุดที่เกาะกลางถนนข้างป้ายโฆษณา แล้วก้าวลงจากเกาะกลางถนนเพื่อข้ามถนนขณะเดียวกับรถที่จำเลยขับอยู่ห่างเพียง3-4 เมตร เห็นได้ว่าโจทก์ข้ามถนนโดยไม่ได้ระมัดระวังรถที่แล่นอยู่ในทางเดินรถให้ดีตามสมควร นับได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วยแต่เมื่อเทียบกับความประมาทของจำเลยซึ่งต้องระมัดระวังคนข้ามถนนแล้ว จำเลยเป็นผู้ประมาทมากกว่า ศาลมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดค่าสินไหมทดแทนเพียง 2 ใน 3 ส่วน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน1จ-1744 กรุงเทพมหานคร ด้วยความเร็วสูง ปราศจากความระมัดระวังพุ่งเข้าชนโจทก์ซึ่งกำลังเดินข้ามถนน ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บระบบประสาทเสีย เสียค่ารักษาพยาบาลไปแล้วจนถึงวันฟ้อง 187,366 บาทแต่ยังไม่เป็นปกติ ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ไม่สามารถยืนหรือทรงตัวได้ เสียความสามารถประกอบการงานต่อไป ขอค่าเสียหายเป็นเงิน500,000 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ปฏิบัติการในทางการที่จ้างต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีถึงวันฟ้องเป็นเงิน 30,072 บาทขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 717,438 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 687,366 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลานอกเวลาทำการของทำการของธนาคารจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถไปในธุรกิจส่วนตัวนอกพื้นที่เขตอำนาจของตน ไม่เกี่ยวกับธุรกิจการงานที่จำเลยที่ 2จ้างไว้ จึงไม่ใช่เป็นการละเมิดในทางการที่จ้าง เหตุที่เกิดขึ้นโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อ จึงต้องร่วมรับผิดด้วยไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเป็นเงิน 35,197 บาท นอกนั้นผู้ปกครองโจทก์เบิกจากทางราชการ จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายอื่นเป็นค่าเสียหายในอนาคตไม่แน่นอน โจทก์กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลย ขณะนี้โจทก์อาการดีขึ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 606,190 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันทำละเมิดเป็นเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย จึงให้จำเลยที่ 1รับผิดเพียง 2 ใน 3 ส่วน ของความเสียหายที่โจทก์ได้รับตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 404,127 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1ชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่าจำเลยที่ 1 ขับรถประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส แม้ตามธรรมดาการขับรถในทางเดินรถผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ชนคนเดินเท้าแต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าคนเดินเท้าจะไม่ต้องใช้ความระมัดระวังเลยเมื่อโจทก์ข้ามถนนไปถึงเกาะกลางแล้วไม่มีพยานโจทก์ คนใดรู้เห็นว่าโจทก์ได้หยุดยืนดูรถที่แล่นในถนนให้ปลอดภัยก่อนแล้วจึงข้ามถนน คงมีแต่นายประเสริฐ ตำราเรียง พยานจำเลยซึ่งมีอาชีพค้าขายโดยใช้รถเข็นอยู่บริเวณที่เกิดเหตุเบิกความว่า เห็นโจทก์เดินข้ามถนนจากฝั่งตรงกันข้าม มาหยุดที่เกาะกลางถนนข้างป้ายโฆษณารับจ้าง เคาะพ่นสี โจทก์มีความสูงพอกับป้าย ขณะนั้นมีรถที่จำเลยที่ 1 ขับแล่นมาทางหัวหมาก ไปคลองตัน โจทก์ก้าวลงจากเกาะกลางถนนเพื่อข้ามถนนขณะเดียวกับรถที่จำเลยที่ 1 ขับอยู่ห่างราว 3-4 เมตร ถ้าห้ามล้อคงห้ามไม่ทันรถจึงได้ชนโจทก์จากคำพยานปากนี้ทำให้เห็นว่า โจทก์ข้ามถนนโดยไม่ได้ระมัดระวังรถที่แล่นอยู่ในทางเดินรถให้ดีตามสมควร จึงได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นนับได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย แต่ความประมาทของโจทก์ที่ไม่ได้ตรวจตรารถซึ่งแล่นอยู่ในถนนให้ดี เมื่อเทียบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องระมัดระวังคนข้ามถนน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ระมัดระวังเพราะจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า มิได้เห็นว่ามีคนเดิมข้ามถนน เพิ่งมาทราบเมื่อรถชนโจทก์แล้วนับได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ประมาทมากกว่าโจทก์ควรรับผิด 2 ใน 3 ส่วน โดยให้เป็นพับแก่โจทก์ส่วนเดียว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในส่วนนี้ชอบแล้ว ฯลฯ
พิพากษายืน

Share