คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4336/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาจำนองระบุว่าเป็นการประกันหนี้ประเภทต่าง ๆ บรรดาที่จำเลยเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่แล้วในขณะทำสัญญาจำนองดังกล่าวหรือที่จะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้า ซึ่งขณะที่ทำสัญญาจำนองนั้นจำเลยก็ยังมีหนี้เกี่ยวค้างเจ้าหนี้อยู่ สัญญาจำนองดังกล่าวย่อมมีผลบังคับ แม้จำเลยจะมิได้รับเงินจากเจ้าหนี้ตามสัญญาจำนอง ก็หามีผลให้สัญญาจำนองตกเป็นโมฆะไม่

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้(จำเลย) เด็ดขาด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นเงิน 97,068,471.20 บาทโดยอ้างว่าลูกหนี้เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีทรัสต์รีซีทสัญญาขายลดเช็คและตั๋วสัญญาใช้เงิน ปรากฏรายละเอียดตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเสนอความเห็นต่อศาลชั้นต้นว่า ควรให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามขอ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า “ปัญหาที่ว่าสัญญาจำนองฉบับลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2522 เป็นโมฆะหรือไม่นั้น เห็นว่า สัญญาจำนองฉบับดังกล่าวเป็นการประกันหนี้ตามสัญญาเงินกู้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี หนี้เกี่ยวกับเลตเตอร์ออฟเครดิต หนี้ที่เกี่ยวกับทรัสต์รีซีท การขายลดหรือรับช่วงขายลดตั๋วเงิน การอาวัล การค้ำประกันตั๋วเงิน หรือหนี้อื่นใดบรรดาที่จำเลยเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่แล้วในขณะทำสัญญาจำนองดังกล่าวหรือที่จะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้า ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.177 และ จ.178 ซึ่งขณะที่ทำสัญญาจำนองนั้นจำเลยก็ยังมีหนี้เกี่ยวค้างเจ้าหนี้อยู่ สัญญาจำนองดังกล่าวย่อมมีผลบังคับ แม้จำเลยจะมิได้รับเงินจากเจ้าหนี้ตามสัญญาจำนองดังที่จำเลยฎีกา ก็หามีผลให้สัญญาจำนองตกเป็นโมฆะไม่เจ้าหนี้จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้จำนองมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share