แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้ไม้ขนาดกว้าง 3 นิ้ว หนา 1 นิ้วครึ่ง ยาว1 วา เท่าที่จะหาได้ในที่เกิดเหตุ ตีหน้าผากผู้เสียหาย1 ที กะโหลกศีรษะแตก รักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 10 วัน แสดงว่าไม่ตั้งใจจะใช้อาวุธที่ร้ายแรงทั้งมิได้ตีซ้ำเมื่อผู้เสียหายล้มลงอยู่ในโอกาสที่จะตีได้อีก สาเหตุเดิมก็เพียงเป็นคนต่างถิ่นไม่ค่อยถูกกัน การบาดเจ็บก็มิได้รุนแรงมากมาย แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80 โดยมิได้บรรยายว่าผู้เสียหายทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ดังนี้เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า จะพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) มิได้ คงลงโทษได้เพียงตาม มาตรา 295
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นอาวุธตีทำร้ายนายวิเชนหลายครั้งที่บริเวณศีรษะโดยเจตนาฆ่า จำเลยกับพวกได้ลงมือกระทำผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล นายวิเชนจึงไม่ตายสมเจตนาของจำเลยกับพวก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ให้จำคุกจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ตีผู้เสียหายเพียง 1 ทีเท่านั้น สำหรับไม้ที่จำเลยที่ 1 ตีผู้เสียหายซึ่งมีขนาดกว้าง 3 นิ้ว หนา 1 นิ้วครึ่ง ยาว 1 วานั้นได้ความว่าเป็นไม้ที่จำเลยที่ 1 หยิบเอาจากรถเข็นน้ำซึ่งจอดอยู่ริมถนนนั่นเองเป็นการใช้อาวุธเท่าที่จะได้ในที่เกิดเหตุ หาได้แสดงว่าตั้งใจจะใช้อาวุธที่ร้ายแรงไม่ส่วนที่มีผู้เสียหายถูกหน้าผากและแรงจนกะโหลกศีรษะแตก ก็ปรากฏว่าผู้เสียหายรักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 10 วัน มิใช่เป็นการบาดเจ็บรุนแรงมากมายแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 ตีผู้เสียหายทีเดียว ไม่ตีซ้ำ เมื่อผู้เสียหายล้มลงอยู่ในโอกาสที่จะตีได้อีกใช้ไม้เท่าที่จะหาได้ในบริเวณที่เกิดเหตุ ทั้งสาเหตุเดิมก็เพียงแต่ผู้เสียหายเป็นคนชุมแสง จำเลยเป็นคนบางมูลนาก ซึ่งไม่ค่อยถูกกัน ไม่ใช่เหตุที่ถึงจะฆ่ากันแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
คดีนี้ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าผู้เสียหายทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) มิได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295