คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2522 มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการริเริ่ม วิจัยสนับสนุน ฝึกอบรมและให้บริการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แม้ในการให้บริการจะเรียกเก็บเงินจากผู้ขอบริการบ้างก็ตามแต่ก็เป็นเพียงค่าใช้จ่ายซึ่งสถาบันฯ ได้ออกไปจริงกับผู้ขอบริการ และบางกรณีถ้าผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สถาบันฯ ก็อาจไม่คิดค่าบริการได้ ดังนี้ไม่ถือว่ากิจการของจำเลยมีวัตถุประสงค์ในการแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,130 บาท เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2524จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุโดยไม่จ่ายค่าชดเชยให้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดค่าเสียหายจากค่าชดเชยจำนวน84,780 บาท ในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี นับแต่วันที่ 30 กันยายน 2524ถึงวันฟ้อง รวม 80 วันเป็นเงิน 2,787 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย84,780 บาท และค่าเสียหาย 2,787 บาท รวมเป็นเงิน 87,657 บาทพร้อมทั้งค่าเสียหายในอัตราร้อยละสิบห้าจากต้นเงิน 84,870 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์เสร็จ

จำเลยให้การว่า สถาบันฯ จำเลยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ ไม่อยู่ในบังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6ได้บัญญัติถึงวัตถุประสงค์ของสถาบันดังกล่าวไว้รวม 5 ข้อ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการริเริ่ม วิจัย สนับสนุน ฝึกอบรม และให้บริการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่ไม่ปรากฏว่าระบุวัตถุประสงค์ในการแสวงกำไรทางเศรษฐกิจไว้เลย ตามเอกสารหมาย ล.1 คำสั่งบริหารเลขที่ คบ.15/48 ลงวันที่ 22 กันยายน 2515 เรื่องระเบียบการปฏิบัติการรับบริการการวิจัยและเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคของสถาบันฯ ข้อ 8 กรณีที่ควรจะมีการศึกษาวิจัยเป็นขั้นแรกให้คิดค่าบริการเพียงแต่ค่าใช้จ่ายซึ่งสถาบันได้ออกไปจริงกับผู้ขอบริการ ข้อ 9 ในกรณีที่ผลของการวิจัยจะทำให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยทั่วไปหรือกิจการต่าง ๆ ของประชาชนโดยส่วนรวมมากกว่าที่จะนำไปใช้เฉพาะสำหรับผู้ขอบริการรายใดรายหนึ่งเท่านั้น สถาบันฯ อาจจะไม่คิดค่าบริการได้ อย่างไรก็ตามสถาบันฯ อาจขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายการดำเนินการวิจัยนั้นตามสมควร และแล้วแต่ความสมัครใจของผู้รับบริการในข้อ 9 ง. วางระเบียบเกี่ยวกับค่าลดหย่อนไว้ว่า เนื่องด้วยสถาบันฯ เป็นองค์การของรัฐบาลที่มิได้ดำเนินการค้าเพื่อหากำไรและอุตสาหกรรมที่กำลังพัฒนายังไม่ยอมรับถึงความจำเป็นและคุณค่าของการวิจัยโดยเต็มที่ฉะนั้น จึงเห็นเป็นการสมควรลดหย่อนค่าบริการจากอัตราปกติ ทั้งนี้เพื่อชักจูงใจให้บริษัทเอกชนใช้บริการของสถาบันฯ มากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ฯลฯ เห็นได้ชัดว่าการคิดค่าบริการวิจัย คิดเท่าที่จำเป็นที่จะนำไปช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการวิจัย และถ้าผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมสถาบันฯ ก็อาจไม่คิดค่าบริการได้ ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้มีการใช้บริการของสถาบันฯเพิ่มมากขึ้น เพื่อประโยชน์ส่วนรวมตามเอกสารหมาย จ.1, จ.2บัญชีรายได้และรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2518, พ.ศ. 2519 รายได้ของสถาบันฯส่วนใหญ่ได้แก่เงินอุดหนุนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีรายได้อื่น ๆ อีก ในบรรดารายได้อื่นนี้ส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปี พ.ศ. 2518 มีกำไรจากการขายทรัพย์สินเพียง 6,722 บาท 50 สตางค์ ส่วนปี พ.ศ. 2519 ไม่มีกำไรดังกล่าว โดยสรุปแม้สถาบันฯ จะมีรายได้แต่ก็มีรายจ่ายใกล้เคียงกับรายได้ คงมีเงินเหลือบ้างตามสมควร ตามเอกสารทั้งสองฉบับนี้จำเลยต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายของตนเอง หากไม่มีเงินคงเหลือไว้ใช้จ่ายในการดำเนินงานบ้างกิจการของจำเลยก็ตั้งอยู่ไม่ได้ และรายได้นี้ตามเอกสารข้างต้นก็ไม่มีรายการแสดงว่านำไปแบ่งปันแก่ผู้ใดในฐานะผลกำไร หรือเงินปันผล ฉะนั้นเพียงแต่จำเลยมีกำไรจากการขายทรัพย์สินบ้างเล็กน้อยบางปีและมีรายได้มากกว่ารายจ่ายเพื่อให้กิจการของจำเลยดำรงอยู่ได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับหลักเกณฑ์ในการเรียกค่าบริการวิจัยตามเอกสารหมาย ล.1 แล้วยังฟังไม่ได้ว่ากิจการของจำเลยมีวัตถุประสงค์ในการแสดงกำไรในทางเศรษฐกิจจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าเสียหายให้โจทก์

พิพากษายืน

Share