แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โดยปกติเมื่อสัญญาเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้ ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามสมควรค่าแห่งการนั้น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสาม โจทก์ผู้รับจ้างจึงย่อมมีสิทธิได้รับการใช้เงินตามควรค่าแห่งงานที่ได้กระทำให้แก่จำเลยผู้ว่าจ้างไปแล้ว การที่สัญญาข้อ 9 ดังกล่าวระบุให้บรรดางานที่โจทก์ได้ทำขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยโจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ไม่ได้เพื่อเป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้ค่างานแก่โจทก์ จึงเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง หาใช่ว่าจะต้องบังคับตามข้อสัญญาโดยเด็ดขาดเป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งงานแก่โจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยเสมอไปไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทำงานตามจำนวนค่าจ้างไปเป็นเงิน 504,000 บาท จำเลยชำระแล้ว 300,000 บาท เมื่อคำนึงถึงค่าปรับรายวันที่จำเลยมิได้เรียกร้องประกอบกับความเสียหายอย่างอื่นที่จำเลยได้รับแล้ว เห็นสมควรกำหนดให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์อีกเพียง 50,000 บาท ซึ่งแม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะใช้ถ้อยคำว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินค่าจ้าง แต่ก็เห็นได้ว่าเป็นเงินตามควรค่าแห่งงานที่กำหนดให้จำเลยใช้แก่โจทก์เพื่อการกลับคืนสู่ฐานะเดิมและศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจลดจำนวนลงแล้วนั่นเอง หากจำเลยเห็นว่าตนไม่ต้องรับผิดก็ชอบที่จะอุทธรณ์ แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์ เพียงแต่มีคำขอมาในคำแก้อุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์เท่านั้น ซึ่งไม่อาจกระทำได้ปัญหาว่าจำเลยจะต้องชำระเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์หรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 จะต้องยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 278,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้าง 50,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ (ที่ถูก พิพากษาแก้เป็นว่า) ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2547 จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ทำเฟอร์นิเจอร์ ตู้เสื้อผ้า เตียงนอน โต๊ะหัวเตียง ชั้นวางโทรทัศน์ และโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมม้านั่งสำหรับโต๊ะเครื่องแป้งติดตั้งในห้องพัก 36 ห้อง ภายในอาคารเหมสุวรรณ์คอร์ทให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 เมษายน 2547 เป็นเงิน 748,800 บาท ในวันทำสัญญา โจทก์ได้รับเงินมัดจำค่าจ้างจากจำเลย 200,000 บาท และวันที่ 30 มีนาคม 2547 โจทก์ได้รับเงินค่าจ้างจากจำเลยเพิ่มอีก 100,000 บาท ต่อมาโจทก์นำเฟอร์นิเจอร์ ตู้เสื้อผ้า เตียงนอน โต๊ะหัวเตียง และชั้นวางโทรทัศน์ไปติดตั้งในห้องพักภายในอาคารดังกล่าว จำเลยบอกเลิกสัญญาและจ้างนายสุชาญ ช่างเฟอร์นิเจอร์มาแก้ไขงานเฟอร์นิเจอร์ที่โจทก์นำมาติดตั้ง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ โจทก์นำสืบว่าโจทก์ส่งมอบงานตามข้อตกลงให้จำเลยครบถ้วนแล้ว โดยโจทก์กับจำเลยตกลงแก้ไขรายการเฟอร์นิเจอร์บางส่วนและเปลี่ยนแปลงราคาค่าจ้างเหลือ 615,820 บาท จำเลยยังค้างชำระค่าจ้าง 278,720 บาท ตามหนังสือส่งมอบงานเอกสารหมาย จ.2 ส่วนจำเลยนำสืบว่า โจทก์ผิดสัญญา ใช้ช่างฝีมือไม่ดีทำเฟอร์นิเจอร์ วัสดุที่ใช้เป็นของเก่าไม่มีคุณภาพ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์แต่ละรายการไม่ครบถ้วน งานไม่สมบูรณ์ ไม่เรียบร้อย ไม่ทำตามแบบ งานล่าช้าและไม่แก้ไขงานที่ชำรุดบกพร่อง จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและจ้างนายสุชาญมาแก้ไขงาน จำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์แก้ไขรายการทำเฟอร์นิเจอร์ตามสัญญา เห็นว่า โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้าน และนายวีรสิงห์ พยานโจทก์เบิกความว่า งานเฟอร์นิเจอร์ที่โจทก์ทำส่งมอบให้จำเลยมีบางรายการไม่เรียบร้อยเจือสมกับทางนำสืบของจำเลย ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์กับจำเลยตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทำเฟอร์นิเจอร์ตามสัญญาจ้างทำให้ค่าจ้างลดลงเหลือ 615,820 บาท ตามหนังสือส่งมอบงานเอกสารหมาย จ.2 นั้น จำเลยปฏิเสธว่าไม่เคยตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทำเฟอร์นิเจอร์ตามสัญญาจ้างแต่อย่างใด และเมื่อพิจารณาหนังสือส่งมอบงานเอกสารหมาย จ.2 แล้วปรากฏว่าโจทก์จัดทำขึ้นเองฝ่ายเดียวโดยจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว และในเอกสารดังกล่าวยังระบุด้วยว่าโจทก์ส่งมอบงานไม่ครบตามสัญญาจ้างโดยมีการหักเงินค่าจ้างนอกจากนี้พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยที่นำสืบมา ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยโดยให้เหตุผลต่าง ๆ ไว้อย่างละเอียดชอบแล้ว ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยซ้ำอีก ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาโจทก์ว่า จำเลยจะต้องชำระเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่เพียงใด นั้น เห็นว่า แม้สัญญาจ้างทำเฟอร์นิเจอร์เอกสารหมาย จ.1 ข้อ 9 ระบุว่า “หากผู้ว่าจ้าง…เห็นว่า ผู้รับจ้างทำงานไม่เรียบร้อย ใช้ลูกจ้างฝีมือไม่ดีมาทำงาน หรือทำงานล่าช้า…ถ้าผู้ว่าจ้างได้ตักเตือนแล้วยังเพิกเฉย ไม่จัดการแก้ไข ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้ได้ ถ้าผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาแล้ว… บรรดางานที่ผู้รับจ้างได้ทำขึ้น… ผู้รับจ้างยอมให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้าง โดยผู้รับจ้างจะเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ไม่ได้” ก็ตาม แต่โดยปกติเมื่อสัญญาเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้ ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสาม โจทก์จึงย่อมมีสิทธิได้รับการใช้เงินตามควรค่าแห่งงานที่ได้กระทำให้แก่จำเลยไปแล้ว การที่สัญญาข้อ 9 ดังกล่าวระบุให้บรรดางานที่โจทก์ได้ทำขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยโจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ไม่ได้ เพื่อเป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้ค่างานแก่โจทก์ จึงเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้า อันเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง หาใช่ว่าจะต้องบังคับตามข้อสัญญาโดยเด็ดขาดเป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งงานแก่โจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยเสมอไปไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทำงานตามจำนวนค่าจ้างไปเป็นเงิน 504,000 บาท จำเลยชำระแล้ว 300,000 บาท เมื่อคำนึงถึงค่าปรับรายวันที่จำเลยมิได้เรียกร้องประกอบกับความเสียหายอย่างอื่นที่จำเลยได้รับแล้ว เห็นสมควรกำหนดให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์อีกเพียง 50,000 บาท ซึ่งแม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะใช้ถ้อยคำว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินค่าจ้าง แต่ก็เห็นได้ว่าเป็นเงินตามควรค่าแห่งงานที่กำหนดให้จำเลยใช้แก่โจทก์เพื่อการกลับคืนสู่ฐานะเดิมและศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจลดจำนวนลงแล้วนั่นเอง หากจำเลยเห็นว่าตนไม่ต้องรับผิดก็ชอบที่จะอุทธรณ์ แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์ เพียงแต่มีคำขอมาในคำแก้อุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์เท่านั้น ซึ่งไม่อาจกระทำได้ ปัญหาว่าจำเลยจะต้องชำระเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์หรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 จะต้องยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยอีก ผลของสัญญาข้อ 9 ดังกล่าวก็มิได้เป็นไปดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ