คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4328/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับ ศ. ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ซื้อเมทแอมเฟตามีน มาจากจำเลยที่ 2 จำนวน 10 เม็ด ได้เสพไปจนเหลือ 3 เม็ด แล้วจำเลยที่ 1 กับ ศ. นำเม็ดแอมเฟตามีนไปจำหน่ายให้แก่สายลับ โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างไปจากข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องในข้อสาระสำคัญ ทั้งการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับด้วย จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในข้อหาดังกล่าวได้
การที่จำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 3 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 91, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (ที่ถูก ไม่ปรับบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 สำหรับฐานความผิดตามมาตรา 57, 91) จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91 ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 (ที่ถูก ไม่ปรับบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 สำหรับฐานความผิดตามมาตรา 57, 91) การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำหรับจำเลยที่ 1 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูก ไม่ปรับบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) ภายหลังการจับกุม จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เห็นควรลดโทษให้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 100/2 เป็นจำคุก 3 ปี ความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 3 เดือน สำหรับจำเลยที่ 2 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูก ไม่ปรับบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุก 4 ปี ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูก ไม่ปรับบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานเสพเมทแอมเฟตามีน 4 เดือน ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 ปี 8 เดือน และฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 ปี 8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 20 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้นให้แก่สายลับตามฟ้องโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสวาทกับดาบตำรวจสมพงศ์เป็นพยานเบิกความว่า หลังจากที่พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกร่วมกันจับกุมจำเลยที่ 1 กับนายศักดิ์ดาและยึดเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว พยานได้สอบถามจำเลยที่ 1 ถึงเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 กับนายศักดิ์ดาจำหน่ายให้แก่สายลับ จำเลยที่ 1 บอกพยานว่าซื้อมาจากจำเลยที่ 2 พยานกับพวกจึงใช้ให้จำเลยที่ 1 โทรศัพท์สั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 อีก ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ตกลงขายให้และนัดให้จำเลยที่ 1 เดินทางไปรับเมทแอมเฟตามีนที่ศาลาที่พักผู้โดยสารบ้านควนกรด ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันเดียวกันนั้นเวลาประมาณ 17 นาฬิกา พยานโจทก์ทั้งสองกับร้อยตำรวจเอกนวพลและจำเลยที่ 1 จึงเดินทางไปพบจำเลยที่ 2 โดยใช้รถยนต์กระบะของจำเลยที่ 1 เป็นยานพาหนะและพบกับจำเลยที่ 2 ตามที่นัดหมาย นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทจำลอง พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกสวาทกับพวกควบคุมตัวจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับนายศักดิ์ดาไปให้พยานสอบสวน จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับนายศักดิ์ดาต่างให้การตรงกันว่า จำเลยที่ 1 ซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 จำนวน 10 เม็ด ในราคา 3,300 บาท หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้เสพไปบ้างคงเหลืออยู่เพียง 3 เม็ด ที่จำหน่ายให้แก่สายลับ แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของบุคคลทั้งสามเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 มิได้บัญญัติห้ามมิให้รับฟังอย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามยังเปิดช่องให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่าได้ โดยมีเงื่อนไขว่าหากคำนึงถึงสภาพ ลักษณะ ตลอดจนแหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมแล้วเห็นว่าพยานบอกเล่านั้นน่าจะพิสูจน์ความจริงได้ สำหรับคดีนี้ได้ความว่าพันตำรวจโทจำลองสอบสวนจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับนายศักดิ์ดาในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุอันเป็นเวลาใกล้ชิดติดพันกันกับที่จับกุมบุคคลทั้งสามได้ เห็นได้ว่าบุคคลทั้งสามต่างให้การไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ทันได้คิดตรึกตรองหาช่องทางแก้ตัวให้พ้นผิด ยิ่งไปกว่านั้นจำเลยที่ 1 ยังเบิกความต่อศาลว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ซื้อเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด จากจำเลยที่ 2 จริง ส่วนนายศักดิ์ดาเบิกความต่อศาลว่า ในชั้นสอบสวนนายศักดิ์ดาให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจและรับรองว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองถูกต้องตรงกับความเป็นจริง อันเป็นการยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ที่จำเลยที่ 1 กับนายศักดิ์ดาจำหน่ายให้แก่สายลับเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่ได้มาจากจำเลยที่ 2 ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้เมทแอมเฟตามีนที่จำหน่ายให้แก่สายลับมาจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น แต่ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายศักดิ์ดามีเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยที่ 2 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 กับนายศักดิ์ดาจึงนำไปจำหน่ายให้แก่สายลับ โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215, 225 ทั้งไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ให้มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับได้ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล อย่างไรก็ดี การที่จำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 3 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนกับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วรวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 20 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share