แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นสามีภริยากันมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ ร่วมกันคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 20308 จำนวน 1 แปลง และก่อนที่ จำเลยที่ 2 จะยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขออนาถาในชั้นฎีกา ที่ดินแปลงดังกล่าวยังไม่ได้จำหน่ายจ่ายโอนให้ใคร จำเลยที่ 2จึงมีที่ดินในส่วนของตนที่จะขายนำเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาล ได้เพียงพอ จำเลยที่ 2 มิได้ยากจนจริง ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 2 ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียม มาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง จำเลยที่ 2 เห็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 20308 จำเลยที่ 1ได้ซื้อไว้โดยจำเลยที่ 2 มิได้ออกเงินซื้อด้วย จึงเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 จึงไม่มีเงินที่จะชำระค่าธรรมเนียมได้ แต่ประสงค์จะต่อสู้คดีจนถึงที่สุด และคดีของ จำเลยที่ 2 จะต้องชนะอย่างแน่นอน โปรดอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ดำเนินคดีอย่างอนาถาในชั้นฎีกาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,312,669.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่31 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 131,266 บาท จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่าง คนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่ง ยกคำร้องดังกล่าว (อันดับ 109,108,124) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 126)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ตามทางไต่สวนได้ความว่าในช่วงเวลาที่ จำเลยที่ 2 ขอฎีกาอย่างคนอนาถา จำเลยที่ 2 ได้กู้เงินจาก สหกรณ์ 250,000 บาท และไม่ปรากฏว่าได้ใช้จ่ายหมดสิ้นไป แต่อย่างใด แสดงว่าจำเลยที่ 2 ยังคงมีจำนวนเงินดังกล่าวอยู่ ประกอบกับเงินค่าธรรมเนียมศาลที่ต้องชำระประมาณ 120,000 บาท จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะ เสียค่าธรรมเนียมศาล ให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 2 ประสงค์ที่จะ ดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 1 เดือนนับแต่วันทราบคำสั่ง