แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่นั้น ศาลฎีกาจำต้องย้อนไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมหลอกลวงต่อผู้เสียหาย 2 ครั้ง หรือไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังมา เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 265, 266, 268, 341, 352 ริบของกลางและให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 7,550,105 บาท
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (1) และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) รวม 5 กระทง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมนั้นเอง ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม 5 กระทง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 5 ปี ริบของกลาง คำขอที่ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาทรัพย์จำนวน 7,550,105 บาท ผู้เสียหายและจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันแล้ว จึงให้ยก ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี จำเลยที่ 1 นำสืบว่าใช้เอกสารปลอมจริง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุก 16 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 266 (1) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (1) และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) แต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมนั้นเอง จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกราชการปลอม 5 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้สำหรับความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมและเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม เป็นว่า เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่เป็นความผิด 2 กระทง และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) อันเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุก 16 เดือน กับให้ยกฟ้องสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดกรรมเดียวนั้น เมื่อคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องย้อนไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมหลอกลวงต่อผู้เสียหาย 2 ครั้ง หรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 เองก็ยอมรับว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับฟังตามคำเบิกความของผู้เสียหายประกอบบันทึกข้อตกลงที่จำเลยที่ 1 ยินยอมคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมหลอกลวงต่อผู้เสียหาย 2 ครั้ง การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงหาใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวนไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังมา เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่ อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้นก็เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 5 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1