แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ซื้อ จัดหา รับเช่า เช่าซื้อ ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง ปรับปรุง ใช้ จัดการโดยประการอื่นซึ่งทรัพย์สินใด ๆ ตลอดจนดอกผลของทรัพย์สินนั้นรวมทั้งประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างอาคาร อาคารพาณิชย์ อาคารที่พักอาศัย ฯลฯ การที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์เป็นระยะเวลาติดต่อกันนานและเป็นจำนวนมากประกอบกับมีการชำระค่าสินค้าเป็นราคาตามกำหนด แสดงว่าจำเลยที่ 1 นำสินค้าที่ซื้อมานั้นไปจำหน่ายแก่บุคคลอื่น รวมทั้งรับเหมาก่อสร้างอาคารตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 และที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อปูนซีเมนต์ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2540 นำไปก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ซึ่งอาคารดังกล่าวจำเลยที่ 1 ใช้เป็นสำนักงานในการบริหารงานการค้าขายที่ค้าขายในต่างประเทศ จึงเป็นการกระทำเพื่อกิจการของจำเลยที่ 1 ฝ่ายลูกหนี้เอง อันเข้าข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) ฉะนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกค่าสินค้าจากจำเลยที่ 1 จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) หาใช่มีอายุความเพียง 2 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์จำนวน 16,788,842.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 11,737,150.56 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำนวน 16,284,007.12 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 11,411,119.33 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น และให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำนวน 16,788,842.51 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 11,737,150.56 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 5,069,128.75 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 มิถุนายน 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ส่วนค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าโจทก์สั่งซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์ในช่วงระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2536 ถึงวันที่ 12 กรกฎาคม 2540 และค้างชำระค่าปูนซีเมนต์จำนวนหนึ่ง สำหรับหนี้ค่าปูนซีเมนต์ตามใบส่งของ รายการที่ 1 ถึง 172 เป็นเงิน 6,672,716.14 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคดีส่วนนี้ขาดอายุความ คู่ความต่างไม่อุทธรณ์ ซึ่งในส่วนนี้และส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อต่อมาว่า คดีโจทก์สำหรับสินค้าตามรายการที่ 173 ถึง 320 ข้างต้นขาดอายุความหรือไม่ ได้ความว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ซื้อ จัดหา รับเช่า เช่าซื้อ ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง ปรับปรุง ใช้ จัดการ โดยประการอื่นซึ่งทรัพย์สินใด ๆ ตลอดจนดอกผลของทรัพย์สินนั้น รวมทั้งประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างอาคาร อาคารพาณิชย์ อาคารที่พักอาศัย ฯลฯ การที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์เป็นเวลาติดต่อกันนานและเป็นจำนวนมากประกอบกับมีการชำระค่าสินค้าเป็นราคาตามกำหนด แสดงว่าจำเลยที่ 1 นำสินค้าที่ซื้อมานั้นไปจำหน่ายแก่บุคคลอื่น รวมทั้งรับเหมาก่อสร้างอาคารตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาทำนองว่า ช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2540 จำเลยที่ 1 สั่งซื้อปูนซีเมนต์นำไปก่อสร้างอาคารพาณิชย์นั้น แม้จะเป็นจริงดังที่จำเลยที่ 1 นำสืบก็ตาม แต่อาคารพาณิชย์ที่สร้างขึ้นมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำสืบว่า อาคารดังกล่าวจำเลยที่ 1 ใช้เป็นสำนักงานในการบริหารงานการค้าขายที่ค้าขายในต่างประเทศ จึงเป็นการกระทำเพื่อกิจการของจำเลยที่ 1 ฝ่ายลูกหนี้นั่นเอง อันเข้าข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) ฉะนั้นสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกค่าสินค้าจากจำเลยที่ 1 จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/33 (5) หาใช่มีอายุความเพียง 2 ปี ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ