แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยในส่วนเนื้อหาที่เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลนั้น ล้วนเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นทั้งสิ้น โดยการคัดข้อความมาจากคำอุทธรณ์ทั้งหมด แม้คำขอท้ายฎีกาจะเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็เป็นการโต้แย้งคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบอย่างไร โดยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66, 67, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 32, 33 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตแต่ให้การปฏิเสธในข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน สำหรับข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ส่วนข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 3 เดือน รวมสองกระทงจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยกล่าวถึงคำฟ้องโจทก์ คำให้การจำเลยคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แล้วย่อหน้าใหม่ว่า”ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 จำเลยยังไม่อาจเห็นพ้องด้วยเนื่องจากคลาดเคลื่อนในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จึงขอฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ดังต่อไปนี้” และลงท้ายว่า “ด้วยเหตุตามที่จำเลยได้ประทานกราบเรียนต่อศาลฎีกาข้างต้นนี้ ขอประทานศาลฎีกาได้โปรดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยมีคำพิพากษายกฟ้องในข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีคำพิพากษาลงโทษในข้อหามีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่น ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตในสถานเบาต่อไปด้วย” ส่วนเนื้อหาที่เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลนั้นล้วนเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นทั้งสิ้น โดยคำฎีกาในส่วนนี้คัดข้อความมาจากคำอุทธรณ์ทั้งหมด แม้คำขอท้ายฎีกาจะเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แต่ฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็เป็นการโต้แย้งคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาไม่ชอบอย่างไร โดยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4241/2542 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ โจทก์ นายประเมิน ศิริทัย จำเลย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย