แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม อ. ค. และ ธ. ในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน อ. ค. และ ธ. ให้การว่า รับเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเช่าห้องพักอยู่ในรีสอร์ต ห้องเลขที่ 12 เจ้าพนักงานตำรวจประสานกับผู้ดูแลรีสอร์ต จนเป็นที่แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้จาก อ. ค. และ ธ. ถูกต้องแล้ว จึงเข้าตรวจค้นห้องพักของจำเลยที่ 1 ทันที เพราะน่าเชื่อว่าจะพบเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด ทั้งที่เกิดเหตุเป็นรีสอร์ตซึ่งจำเลยทั้งสองพักชั่วคราว หากเนิ่นช้าไปกว่าจะได้หมายค้น จำเลยทั้งสองอาจนำเมทแอมเฟตามีนออกไปจากรีสอร์ตเมื่อใดก็ได้ จึงเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง เจ้าพนักงานตำรวจจึงมีอำนาจเข้าไปค้นในห้องพักโดยไม่จำต้องมีหมายค้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 92 (4) และมาตรา 96 (2) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ที่จำเลยที่ 2 และค้นพบเมทแอมเฟตามีน 554 เม็ด ภายในห้องซึ่งจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นของตนอันเป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานตำรวจจึงมีอำนาจจับจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 (1), 80 ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1, 100/2, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 557 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหามีเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2)) วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง วรรคสาม, 91, 100/2 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 67, 91 แม้ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 มีอายุ 19 ปี แต่จำเลยที่ 2 รู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 36 ปี และปรับ 800,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 3 ปี และปรับ 300,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 39 ปี 6 เดือน และปรับ 1,100,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน และปรับ 30,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เฉพาะฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งสองคนละกึ่งหนึ่งในฐานความผิดดังกล่าว และลดโทษให้จำเลยที่ 1 เฉพาะฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 30 ปี 3 เดือน และปรับ 900,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน และปรับ 15,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ห้ามจำเลยที่ 2 เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิดภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว กับให้จำเลยที่ 2 ร่วมทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 2 เห็นสมควรมีกำหนด 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังจำเลยที่ 1 แทนค่าปรับเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน และปรับ 225,000 บาท เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 29 ปี 6 เดือน และปรับ 825,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ไม่ฎีกาโต้เถียงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา ร้อยตำรวจโทสามารถ และร้อยตำรวจตรีสมศักดิ์กับพวกจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 557 เม็ด โดยยึดจากตัวจำเลยที่ 2 จำนวน 3 เม็ด ที่เหลือ 554 เม็ด ยึดจากพื้นห้องและลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งในห้องที่เกิดเหตุ ตามบันทึกการจับกุม จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีน 554 เม็ด เป็นของจำเลยที่ 1 และให้การว่านายวิชญภาสหรือบอล มีเมทแอมเฟตามีน 800 เม็ด ไว้ในครอบครอง ในวันเดียวกันเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ร้อยตำรวจโทสามารถกับพวกจับกุมนายวิชญภาส พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 762 เม็ด ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามบันทึกการจับกุมท้ายฟ้อง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายวิชญภาสแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 570/2556 โดยเมทแอมเฟตามีน 554 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน 3 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 9.30 กรัม เมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ที่ค้นพบในตัวจำเลยที่ 2 บรรจุในหลอดพลาสติกใสปิดหัวท้าย คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.05 กรัม เมทแอมเฟตามีน 762 เม็ด ที่ยึดจากนายวิชญภาสบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน 2 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.453 กรัม ตามรายงานผลการตรวจพิสูจน์ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 รับว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพเมทแอมเฟตามีน เมื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยผิดกฎหมาย จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่า เสพเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 554 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นและจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ห้องพักเลขที่ 12 โรงแรมหนองกี่รีสอร์ต โดยไม่มีหมายค้นและหมายจับ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ปัญหานี้จำเลยที่ 1 ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แล้ว แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้ยกขึ้นวินิจฉัยไว้ อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำสืบโต้แย้งข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุ ช่วงเช้า ร้อยตำรวจโทสามารถ และร้อยตำรวจตรีสมศักดิ์ ร่วมกันจับกุมนายอุทัย นางสาวเครือฟ้า และนายธวัชชัย ในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนและผู้ต้องหาทั้งสามให้การว่า ได้รับเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเช่าห้องพักอยู่ที่ห้องพักเลขที่ 12 ที่เกิดเหตุ หลังจากประสานกับทางผู้ดูแลรีสอร์ตจนเป็นที่แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้จากผู้เสพทั้งสามถูกต้องแล้ว จึงเข้าตรวจค้นห้องพักของจำเลยที่ 1 ทันที เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองไปตรวจค้นห้องพักดังกล่าวเพราะน่าเชื่อว่า จะพบเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด ทั้งที่เกิดเหตุเป็นรีสอร์ตซึ่งจำเลยทั้งสองพักชั่วคราว หากเนิ่นช้าไปกว่าได้หมายค้น จำเลยทั้งสองอาจจะนำเมทแอมเฟตามีนออกไปจากรีสอร์ตเมื่อใดก็ได้ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง ทำให้พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจเข้าไปค้นในห้องพักโดยไม่จำต้องมีหมายค้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92 (4) และมาตรา 96 (2) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และเมื่อพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง 3 เม็ด ที่จำเลยที่ 2 และค้นพบเมทแอมเฟตามีน 554 เม็ด ภายในห้อง ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นของตนอันเป็นความผิดซึ่งหน้า พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจึงมีอำนาจจับจำเลยทั้งสองได้ตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (1), 80 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ดังนั้นการตรวจค้นและจับกุมในกรณีนี้จึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91, 100/2 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 20 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี 6 เดือนและปรับ 400,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี 3 เดือน และปรับ 200,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์