คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4305/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นสมุห์บัญชีและจำเลยที่ 3 เป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอำนาจทำคำรับรองเช็คว่าใช้เงินได้ และจำเลยที่ 2 ยังมีอำนาจลงลายมือชื่อในตำแหน่งผู้จัดการของจำเลยที่ 1ได้ด้วย ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1ลงบนด้านหลังเช็คซึ่งจำเลยที่ 4 เป็นผู้สั่งจ่าย แล้วนำไปแลกเงินจากโจทก์ แม้ตราที่ประทับจะใช้สำหรับกรณีลูกค้าของธนาคารนำเงินเข้าบัญชีหรือถอนเงิน และเป็นการกระทำเกินอำนาจจำเลยที่ 2 ที่ 3ก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์และการปฏิบัติของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันควรเชื่อว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 อยู่ภายในขอบอำนาจที่จะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้จำเลยที่ 1 จึงร่วมรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นพนักงานของจำเลยที่ ๑ มีตำแหน่งเป็นสมุห์บัญชีและผู้ช่วยสมุห์บัญชี มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน๒๕๒๘ จำเลยที่ ๔ ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารจำเลยที่ ๑ จำนวนเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ลงลายมือชื่อสลักหลังเป็นผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย มาแลกเงินสดจากโจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการใช้เงิน จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในต้นเงินตามเช็คและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน ๖๗,๔๓๗.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินตามเช็คนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้เป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไปของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ เฉพาะเรื่องออกหนังสือค้ำประกันเท่านั้นมิได้มอบอำนาจการรับอาวัลตั๋วเงิน จำเลยที่ ๓ ไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ การสลักหลังเช็คตามฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กระทำในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราในเช็คพิพาท ลายมือดังกล่าวปลอมไม่พูกพันจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์ได้เช็คมาโดยไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๖๗,๔๑๗.๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ ๑ ลงบนด้านหลังเช็คพิพาทแม้จำเลยที่ ๑ จะไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำการอาวัลเช็คได้ แต่ตามเอกสารหมาย จ.๔ หรือ ล.๒ เรื่องการลงลายมือชื่อในนามของจำเลยที่ ๑ ได้ระบุให้อำนาจจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไว้ว่าทำคำรับรองเช็คว่าใช้เงินได้ และระบุให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานชั้น ก. ของสำนักงานใหญ่มีอำนาจลงลายมือชื่อในตำแหน่งผู้จัดการสาขานครพนม ได้ด้วย นายประจิต ภัทรพงพันธ์ ผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ เบิกความว่า เอกสารฉบับดังกล่าวนี้ ธนาคารจำเลยที่ ๑ได้ประกาศแจ้งไปยังธนาคารอื่นซึ่งเกี่ยวข้องทราบ และด้านหลังเอกสารนั้นมีรายชื่อกับตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ปรากฏอยู่ด้วย ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ลงลายมือชื่อกับประทับตราของจำเลยที่ ๑ ไว้ด้านหลังเช็คพิพาท แม้ตราที่ประทับจะใช้สำหรับกรณีลูกค้าของธนาคารนำเงินมาเข้าบัญชีหรือถอนเงินจากบัญชี และการกระทำของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จะเป็นการเกินอำนาจก็ตามแต่ตามพฤติการณ์และการปฏิบัติของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันควรเชื่อว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ที่ ๓ อยู่ภายในขอบอำนาจที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จะกระทำการสลักหลังเช็คพิพาทแทนจำเลยที่ ๑ ได้ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑และ มาตรา ๘๒๒
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share