คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยฉุดผู้เสียหายออกจากทางเดินเข้าไปในป่าข้างทางที่เกิดเหตุแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น แม้การที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจะเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายด้วย และมีลักษณะเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายที่ต่อเนื่องกันก็ตาม แต่การที่จำเลยฉุดตัวผู้เสียหายออกจากทางเดินเข้าไปในป่าข้างทางที่เกิดเหตุเป็นการแสดงเจตนาส่วนหนึ่งของจำเลย โดยมีเหตุจูงใจที่จะนำตัวผู้เสียหายไปกระทำชำเรา อันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งที่สำเร็จไปแล้วต่างหากจากการที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเป็น 2 กระทง คือความผิดฐานพาหญิงไปเพื่ออนาจารกระทงหนึ่งและเป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอีกกระทงหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๒๗๗ วรรคสอง, ๒๘๔
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง (ที่ถูกมาตรา ๒๗๗ วรรคสอง), ๒๘๔ วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน ๑๓ ปี จำคุก ๑๒ ปี ฐานพาเด็กหญิงไปเพื่อการอนาจารจำคุก ๓ ปี รวมจำคุก ๑๕ ปี คำรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๑๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรก คงลงโทษจำคุกจำเลย ๘ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยฉุดผู้เสียหายเข้าไปในป่าทีเกิดเหตุแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น เป็นความผิดฐานพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรก แล้ว มิใช่เป็นความผิดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยนั้น เห็นว่า การที่จำเลยมีเจตนาจะกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงตัดสินใจเข้าฉุดตัวผู้เสียหายจากทางเดินเข้าไปในป่าข้างทางบริเวณที่เกิดเหตุแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายทันทีนั้น แม้การที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจะเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายด้วย และการกระทำของจำเลยดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายที่ต่อเนื่องกันก็ตาม แต่การที่จำเลยฉุดตัวผู้เสียหายจากทางเดินเข้าไปในป่าข้างทางที่เกิดเหตุ เป็นการแสดงเจตนาส่วนหนึ่งของจำเลย โดยมีเหตุจูงใจที่จะนำตัวผู้เสียหายไปกระทำชำเรา อันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งที่สำเร็จไปแล้วต่างหากจากการที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหาย ดังนั้นถึงแม้ป่าบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยกระทำชำเราจะอยู่ไม่ไกลจากทางเดินที่ผู้เสียหายเดินอยู่ก่อนฉุดผู้เสียหายเข้าไปมากนัก ก็ถือได้ว่าจำเลยได้พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรก แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นบริเวณเดียวกัน ไม่ถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดฐานพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรก อีกกรรมหนึ่ง จำคุก ๓ ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี รวมเป็นจำคุก ๑๐ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑

Share