คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บันทึกที่บริษัท ค. ทำกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้ค้ำประกันบริษัทจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เป็นเพียงข้อตกลงที่จะซื้อขายหุ้นกันไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าบริษัท ค. ตกลงรับโอนหนี้ของจำเลยที่ 1 หรือรับจะชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 และปรากฏจากรายงานการประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ก่อนที่จะมีการโอนขายหุ้นกันว่า จำเลยที่ 1 ประสบภาวะการขาดทุนเป็นอย่างมากบริษัท ค. เพียงแต่จะให้ความร่วมมือทางการเงินเท่านั้น ทั้งเช็คที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อ้างว่าบริษัท ค. ชำระหนี้ของจำเลยที่ 1ให้แก่โจทก์ติดต่อกันทุกเดือน ก็เป็นเช็คลงวันที่ก่อนที่จะมีการตกลงโอนหุ้นกัน จึงไม่ใช่เช็คที่บริษัท ค. ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แม้ต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1จากฝ่ายจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาเป็นกลุ่มของบริษัท ค. ก็เป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 1 สิทธิหน้าที่ตลอดจนความผูกพันของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อบุคคลภายนอกรวมทั้งโจทก์มีอยู่อย่างไร ก็คงมีอยู่ต่อไปตามเดิมหาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อบริษัท ค. มิได้ยอมเข้ามาเป็นลูกหนี้รับชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ถือว่ามีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงยังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้กับโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2521 จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อกรมศุลกากรในการที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากกรมศุลกากรให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้าสำเร็จรูปเป็นเงิน 1,500,000 บาท จนกว่ากรมศุลกากรจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน หากโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จนครบถ้วนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี ในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1ผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมชดใช้แทนจำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนจนครบถ้วนทันที ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าภาษีอากรให้แก่กรมศุลกากรได้ขอให้โจทก์ชำระค่าภาษีอากรจำนวน570,180.56 บาท ต่อกรมศุลกากรแทนไปก่อน โดยจำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละ 18 ต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระแก่โจทก์ ครั้นวันที่ 11ธันวาคม 2523 โจทก์ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวต่อกรมศุลกากรแทนจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์หลายครั้ง จำเลยทั้งสามก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี ถึงวันฟ้องจำนวน635,977.77 บาท และให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน570,180.56 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ก่อนชี้สองสถาน โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 เพราะศาลจังหวัดสมุทรสาครพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยที่ 2และที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้จ่ายเงินจำนวนดังฟ้องให้แก่กรมศุลกากรแทนจำเลยที่ 1 หากศาลฟังว่า โจทก์จ่ายจริงก็เป็นหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ใช่หนี้ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3ก่อขึ้น เดิมจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัทจำเลยที่ 1 ต่อมาบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ซื้อหุ้นและรับโอนกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 ไปดำเนินการโดยรับโอนไปทั้งสิทธิหน้าที่และหนี้สินที่มีอยู่ โดยไม่ต้องให้ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการเดิมของบริษัทจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ 2และที่ 3 ได้ขายหุ้นและโอนกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 ให้แก่บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 จำเลยที่ 2 และที่ 3ได้หลุดพ้นภาระความรับผิดในหนี้สินของจำเลยที่ 1 แล้ว หรือหนี้สินนั้นได้ระงับไปด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดชดใช้หนี้จำนวน 570,180.56 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2523 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อกรมศุลกากรเพื่อความรับผิดในหนี้ทุกอย่างที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1ต่อโจทก์และยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดหรือผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2และที่ 3 กับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้โอนขายหุ้นให้แก่บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด และต่อมาโจทก์ได้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรให้แก่กรมศุลกากรแทนจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 570,180.56 บาทไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2523 ตามที่จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และรับใช้หนี้ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2523 ไว้ต่อโจทก์คงมีปัญหาว่าได้มีการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด และจำเลยที่ 2 และที่ 3จะพ้นความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ต่อโจทก์หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ได้รับโอนหนี้ของจำเลยที่ 1 ไปทั้งหมดโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมหนี้เดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ย่อมระงับไป เพราะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 เมื่อหนี้ประธานระงับบรรดาหนี้อุปกรณ์ก็ย่อมระงับไปด้วย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่าตามบันทึกการทำความเข้าใจระหว่างฝ่ายเตลาน (ฝ่ายจำเลยที่ 2ที่ 3) ฝ่ายปีเตอร์สและบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด เอกสารหมาย ล.3 ที่ทำกันเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2522 ซึ่งฝ่ายจำเลยอ้างว่าเป็นบันทึกที่บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ตกลงจะชำระหนี้ของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเพียงข้อตกลงที่จะซื้อขายหุ้นกันในระหว่างสามฝ่ายแต่ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นเลยว่าบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ตกลงรับโอนหนี้ของจำเลยที่ 1 หรือรับจะชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ปรากฏจากรายงานการประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2523 ของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมายล.16 ที่กระทำกันเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2523 ก่อนที่จะมีการโอนขายหุ้นกัน ว่าจำเลยที่ 1 ประสบภาวะการขาดทุนเป็นอย่างมากบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด เพียงแต่จะให้ความร่วมมือทางการเงิน ซึ่งก็ไม่มีข้อความใดแสดงว่าบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทยจำกัด ตกลงจะชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 เช่นกัน การที่จำเลยที่ 1ประสบภาวะการขาดทุนเป็นอย่างมากยิ่งไม่มีเหตุผลที่บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ถึงกับจะเสนอตัวรับชำระหนี้แทนด้วยทั้งบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ก็ได้ยื่นคำให้การเมื่อถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ว่าไม่เคยตกลงที่จะชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ส่วนที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อ้างว่า บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ได้ชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ติดต่อกันมาทุกเดือน ตามเช็คเอกสารหมาย ล.18-ล.23 นั้น เช็คดังกล่าวเป็นเช็คลงวันที่ระหว่าง 6 กันยายน 2522 ถึงวันที่ 25ธันวาคม 2522 อันเป็นเวลาก่อนที่จะมีการตกลงโอนหุ้นกัน จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นเช็คที่บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 อนึ่ง แม้ต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 จากฝ่ายจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาเป็นกรรมการจากกลุ่มของบริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด ก็เป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 1อยู่นั่นเอง สิทธิหน้าที่ตลอดจนความผูกพันของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อบุคคลภายนอกรวมทั้งโจทก์มีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่ต่อไปตามเดิมหาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด มิได้ยอมเข้ามาเป็นลูกหนี้รับชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด จึงไม่ถือว่ามีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ดังที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อ้าง และเมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมให้มีการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ จำเลยที่ 2 ที่ 3จึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้กับโจทก์ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า สัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 18 ต่อปีนั้น ปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองก็ได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ชำระค่าดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ15 ต่อปีเท่านั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share