แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 50 บาท แต่ ป.อ. มาตรา 30 บัญญัติว่า ในการกักขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราสองร้อยบาทต่อหนึ่งวัน ฉะนั้น การบังคับค่าปรับจึงกักขังแทนค่าปรับไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 จึงเป็นการไม่ถูกต้อง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 364,365 และ 371
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 364, 365 (2) (3), 371 ประกอบมาตรา 83 (ที่ถูกมาตรา 358, 371,365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 83) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันสมควร ปรับ 100 บาท ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ กับฐานร่วมกับบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไปเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี และปรับ 100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 50 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเฉพาะในความผิดฐานบุกรุกว่า สมควรลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษให้หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในหอพักอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 ในเวลากลางคืนแล้วร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า และทำให้ไร้ประโยชน์แก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ 2 การกระทำดังกล่าวของจำเลยแม้ไม่ทำให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายมากนัก แต่ก็เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายทั้งยังเป็นการคุกคามต่อสวัสดิภาพและความสงบสุขในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง การที่จำเลยได้พยายามบรรเทาความเสียหายด้วยการชดใช้ค่าเสียหายให้จนเป็นที่พอใจและผู้เสียหายทั้งสองไม่ติดใจเอาความแล้วก็ยังไม่เพียงพอที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 50 บาท แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 บัญญัตติว่า ในการกักขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราสองร้อยบาทต่อหนึ่งวัน ฉะนั้น การบังคับค่าปรับจึงกักขังแทนค่าปรับไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จึงเป็นการไม่ถูกต้องแต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ให้จำหน่ายคดีในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ออกจากสารบบความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์