แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การอุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 3 เป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนเมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ปรากฏว่าเจ้าหนี้อื่น ลูกหนี้หรือผู้ทำแผนมิได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้ เจ้าหนี้รายที่ 3 จึงเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนได้เต็มจำนวนหนี้ตามที่ระบุไว้ในคำขอรับชำระหนี้นั้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/30 เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ที่มิได้ลงมติยอมรับแผน จึงมีสิทธิคัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนได้ตามมาตรา 90/57 และเมื่อศาลล้มละลายมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนอันไม่เป็นไปตามข้อคัดค้านของเจ้าหนี้รายที่ 3 ทั้งยังเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของเจ้าหนี้ เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 3 จึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้
การที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 กำหนดขั้นตอนในการพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผนไว้ว่า เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนตามมาตรา 90/46แล้ว ให้ศาลพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผนอีกชั้นหนึ่ง ศาลจึงมีอำนาจในการตรวจสอบถึงเนื้อหาของแผน โอกาสความเป็นไปได้ ตลอดจนความสุจริตในการจัดทำแผนนั้น ที่มาตรา 90/58 บัญญัติว่า “ให้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า…” หมายความเพียงว่าเมื่อแผนมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 90/58(1) ถึง (3)อันเป็นมาตรฐานขั้นต่ำแล้วให้ศาลมีดุลพินิจที่จะเห็นชอบด้วยแผนได้หาได้หมายความว่าถ้าแผนฟื้นฟูกิจการมีลักษณะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 90/58(1) ถึง (3) ศาลจึงต้องมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนในทุกกรณีไปไม่
แผนฟื้นฟูกิจการที่กำหนดให้เจ้าหนี้รายที่ 3 ลดยอดหนี้ลงและให้ได้สิทธิการชำระเงินจากบริษัท ส. โดยการหักชำระหนี้เต็มจำนวน ย่อมทำให้เจ้าหนี้รายที่ 3 เสียเปรียบเจ้าหนี้รายอื่นที่ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรง ประกอบกับบริษัท ส. อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการและลูกหนี้ได้ใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้ว จึงเป็นการไม่แน่นอนว่าบริษัท ส. จะมีเงินชำระให้แก่ลูกหนี้หรือไม่ เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกันและเป็นเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่เช่นเดียวกับเจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และที่ 8 การที่แผนฟื้นฟูกิจการได้นำเจ้าหนี้รายที่ 3 เพียงรายเดียวไปจัดเป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 7 เป็นต่างหาก และได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกับกลุ่มอื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร อันถือว่ามีความมุ่งหมายที่จะเลือกปฏิบัติส่อไปในทางไม่สุจริตโดยมีการเสนอแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้บางส่วนโดยการโอนหนี้ของบุคคลภายนอกมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้รายที่ 3 และเจ้าหนี้รายที่ 3 รับผิดชอบเองในการติดตามหนี้สินดังนั้น แผนฟื้นฟูกิจการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้เจ้าหนี้รายที่ 3 เสียเปรียบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งบริษัทคอนโซลิเดเต็ด คอนซัลแทน จำกัด เป็นผู้ทำแผน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2544 ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการที่มีการแก้ไขแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/46(2) ขอให้ศาลนัดพิจารณาแผน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งแจ้งความกำหนดวันนัดพิจารณาให้ผู้ทำแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 90/56 แล้ว
เจ้าหนี้รายที่ 3 ยื่นคำคัดค้านว่า ตามที่แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้เจ้าหนี้รายที่ 3ยกดอกเบี้ยค้างชำระทั้งหมดและให้ลดหนี้ลงจำนวนเท่ากับจำนวนยอดหนี้คงค้างจากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยให้เจ้าหนี้รายที่ 3 ได้รับสิทธิการชำระเงินดังกล่าวจากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) แทนการชำระหนี้ ในส่วนหนี้ที่ยังคงค้างให้ได้รับการชำระหนี้ด้วยพื้นที่และหรือสินค้าอื่นภายใน 1 เดือน นับจากวันเริ่มดำเนินการตามแผนนั้น เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 เนื่องจากเจ้าหนี้รายที่ 3 ไม่ได้ตกลงยินยอมเป็นหนังสือด้วย และบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องหรือยินยอมเป็นหนังสือ ผู้ทำแผนมีเจตนาที่จะนำเงินที่ลูกหนี้จะได้รับจากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาหักกับเงินที่ลูกหนี้จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้รายที่ 3 ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โดยวินิจฉัยว่าลูกหนี้ไม่มีสิทธินำเงินที่ลูกหนี้เป็นเจ้าหนี้บริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)มาหักกับเงินที่ต้องชำระให้เจ้าหนี้รายที่ 3 จึงเป็นการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการขัดต่อคำพิพากษาทำให้เจ้าหนี้รายที่ 3 ได้รับความเสียหาย อีกทั้งลูกหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในหนี้ดังกล่าวจากการฟื้นฟูกิจการของบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)ลูกหนี้ไม่อาจนำหนี้ดังกล่าวมาโอนให้เจ้าหนี้รายที่ 3 รับชำระหนี้จากบริษัทสยามซินเท็คคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้อีก การแบ่งกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการได้แบ่งกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันไว้ 8 กลุ่ม ผู้ทำแผนกำหนดวิธีการชำระหนี้โดยไม่ได้นำสิทธิเรียกร้องที่ลูกหนี้เป็นเจ้าหนี้ต่อบุคคลภายนอกให้ชำระแก่ลูกหนี้นำมาชำระแก่เจ้าหนี้กลุ่มอื่น ๆแต่อย่างใด คงกำหนดไว้เฉพาะเจ้าหนี้กลุ่มที่ 7 ซึ่งมีเจ้าหนี้รายที่ 3 เพียงรายเดียวเท่านั้นจึงเป็นการเลือกปฏิบัติให้แตกต่างจากเจ้าหนี้ไม่มีประกันกลุ่มอื่น ขอให้มีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผน
เจ้าหนี้รายที่ 11 ยื่นคัดค้านว่า มูลหนี้ภาษีอากรและส่วนของเบี้ยปรับถือเป็นยอดเงินภาษีอากรทั้งหมดที่ผู้เสียภาษีต้องชำระตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพราะเบี้ยปรับนั้นมีฐานที่มาจากบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายในส่วนมหาชน มิใช่กฎหมายในส่วนแพ่งอย่างกรณีดอกเบี้ยทั่วไป อีกทั้งเป็นหนี้ที่มีบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 256 ดังนั้น การปรับโครงสร้างที่กำหนดการชำระเงินภาษีอากรตามแผนเมื่อดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้รายที่ 11 ได้รับชำระหนี้ภาษีอากรน้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย เพราะจำนวนเงินในกรณีที่ดำเนินการแบ่งหากศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายเจ้าหนี้รายที่ 11 จะได้รับภาษีอากรเต็มจำนวน คำนวณจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจำนวน 26,281,878.39 บาท เงินภาษีอากรและดอกเบี้ยขาดไปจำนวน 18,173,481.22 บาท แผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 90/58(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มติที่ประชุมเจ้าหนี้ซึ่งได้ลงมติยอมรับในส่วนการปรับโครงสร้างหนี้กลุ่มเจ้าหนี้ราชการโดยเฉพาะในส่วนหนี้ภาษีอากรนั้น เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตการลดหรืองดเบี้ยปรับจะกระทำได้ก็ด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรเท่านั้น ผู้มีอำนาจสั่งงดหรือลดเบี้ยปรับได้แก่เจ้าพนักงานประเมินภาษีอากรและอธิบดีกรมสรรพากรดังนั้น ผู้ทำแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งปวง ไม่มีอำนาจในการงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้ การที่ผู้ทำแผน ลูกหนี้และเจ้าหนี้ทั้งปวงได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ภาษีอากรโดยกำหนดการงดหรือลดเบี้ยปรับเป็นการร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลรัษฎากรเพราะไม่มีสิทธิกระทำได้ตามกฎหมายและหากยอมให้เอกชนหรือผู้เสียภาษีสามารถตกลงกันงดหรือลดเงินภาษีอากรได้ตามความประสงค์แล้ว ย่อมเท่ากับยอมให้มีการละเมิดกฎหมาย อันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 67 มติที่ประชุมของเจ้าหนี้ที่ยอมรับแผนในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะ แม้ว่าตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/42(3)(ข) จะบัญญัติว่าในแผนให้มีรายการที่เกี่ยวกับการชำระหนี้ การถือกำหนดเวลาชำระหนี้ระหว่างเอกชนต่อเอกชนด้วยกันมิได้รวมถึงหนี้ที่เกิดขึ้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่รัฐเรียกเก็บจากเอกชน เพราะหากยอมให้เอกชนใช้แผนฟื้นฟูกิจการทำการลดหนี้หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ให้แก่รัฐบาลได้แล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การจัดการชำระหนี้ตามแผนจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้ทำแผนจัดทำขึ้นครั้งนี้ขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 90/42(3)(ข) มาตรา 90/58(3) ขอได้มีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยกับแผนและให้แก้ไขในส่วนของเจ้าหนี้ราชการตามคำคัดค้านต่อไป
ผู้ทำแผนและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ยื่นคำชี้แจง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/58
เจ้าหนี้รายที่ 3 และที่ 11 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือ
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำแก้อุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนก่อนว่าเจ้าหนี้รายที่ 3 มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนหรือไม่ เนื่องจากเจ้าหนี้รายที่ 3 มิได้ร้องคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ และไม่ได้ขอแก้ไขแผนในที่ประชุมเจ้าหนี้ ทั้งมิได้เข้าประชุมเจ้าหนี้เพื่อลงมติไม่ยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เห็นว่า การอุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 3 เป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการปรากฏว่าเจ้าหนี้อื่นลูกหนี้หรือผู้ทำแผนมิได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้เจ้าหนี้รายที่ 3 จึงเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนได้เต็มจำนวนหนี้ตามที่ระบุไว้ในคำขอรับชำระหนี้นั้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/30 เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 ไม่ได้เข้าร่วมประชุมถือว่าเป็นเจ้าหนี้ที่มิได้ลงมติยอมรับแผน จึงมีสิทธิคัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนได้ตามมาตรา 90/57 และเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนอันไม่เป็นไปตามข้อคัดค้านของเจ้าหนี้รายที่ 3 ทั้งยังเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของเจ้าหนี้ เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 3 จึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้
ส่วนที่ลูกหนี้และผู้ทำแผนแก้อุทธรณ์ต่อไปว่า ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผน ศาลมีอำนาจพิจารณาเฉพาะเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา 90/58 เท่านั้น และหากแผนมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 90/58 แล้ว เป็นบทบังคับที่ศาลจะต้องมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน เห็นว่า การที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 กำหนดขั้นตอนในการพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผนไว้ว่า เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนตามมาตรา 90/46 แล้ว ให้ศาลพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผนอีกชั้นหนึ่ง จึงเป็นการกำหนดให้ศาลเข้ามามีบทบาทในทางเศรษฐกิจในอันที่จะใช้ดุลพินิจคุ้มครองเจ้าหนี้เสียงข้างน้อยเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมและให้แผนฟื้นฟูกิจการเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าหนี้ตลอดจนประเทศชาติโดยรวม ศาลจึงมีอำนาจในการตรวจสอบถึงเนื้อหาของแผนโอกาสความเป็นไปได้ ตลอดจนความสุจริตในการจัดทำแผนนั้นที่มาตรา 90/58 บัญญัติว่า “ให้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า…” หมายความเพียงว่าเมื่อแผนมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 90/58(1) ถึง (3)อันเป็นมาตรฐานขั้นต่ำแล้วให้ศาลมีดุลพินิจที่จะเห็นชอบด้วยแผนได้ หาได้หมายความว่าถ้าแผนฟื้นฟูกิจการมีลักษณะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 90/58(1) ถึง (3) ศาลจึงต้องมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนในทุกกรณีไปไม่
ประการที่สอง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 3 ว่าการที่แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้เจ้าหนี้รายที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่ ยกดอกเบี้ยค้างชำระทั้งหมดและให้ลดหนี้ลงจำนวนเท่ากับจำนวนยอดหนี้คงค้างจากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยให้เจ้าหนี้รายที่ 3 ได้รับสิทธิการชำระเงินดังกล่าวจากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) แทนการชำระหนี้ ในส่วนหนี้ที่ยังคงค้างให้ได้รับการชำระหนี้ด้วยพื้นที่และหรือสินค้าอื่นภายใน 1 เดือน นับจากวันเริ่มดำเนินการตามแผนนั้นแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าตามแผนฟื้นฟูกิจการมีการแบ่งกลุ่มเจ้าหนี้ในส่วนของเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่เป็น 3 กลุ่มคือ เจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 ถึงที่ 8 สำหรับเจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และที่ 8 ตามแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้ยกดอกเบี้ยค้างชำระทั้งหมดและให้ได้รับการชำระหนี้ด้วยพื้นที่และหรือสินค้าอื่นส่วนเจ้าหนี้รายที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 7 เพียงรายเดียว ตามแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้ยกดอกเบี้ยค้างชำระทั้งหมดและให้ลดหนี้ลงจำนวนเท่ากับยอดหนี้ที่ลูกหนี้เป็นเจ้าหนี้บริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยให้เจ้าหนี้รายที่ 3 ได้รับสิทธิการชำระเงินดังกล่าวจากบริษัทสยาม ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) แทนการชำระหนี้ ในส่วนหนี้ที่ยังคงค้างให้ได้รับการชำระหนี้ด้วยพื้นที่และหรือสินค้าอื่น ซึ่งเห็นได้ว่าเจ้าหนี้รายที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่เหมือนกับเจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และที่ 8 ถูกลดหนี้ต้นเงินลงเพียงรายเดียวและให้ได้สิทธิการชำระเงินจากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) แทนที่จะได้รับการชำระหนี้จากลูกหนี้ ตามตารางจำนวนหนี้ของลูกหนี้ก่อนและหลังการปรับโครงสร้างหนี้ในแผนฟื้นฟูกิจการ หน้า 27 ระบุว่าเจ้าหนี้รายที่ 3 (เจ้าหนี้กลุ่มที่ 7) ก่อนการปรับโครงสร้างหนี้มีต้นเงิน 103,163,005.10บาท และดอกเบี้ยจำนวน 23,087,153.82 บาท แสดงว่าผู้ทำแผนได้จัดทำแผนโดยชำระเงินต้นบางส่วนด้วยการโอนหนี้จากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)จำนวน 47,075,851.28 บาท มาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้รายที่ 3 จึงเป็นการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และคำพิพากษาซึ่งเจ้าหนี้รายที่ 3 ฟ้องลูกหนี้และศาลพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 9302/2543 ให้ลูกหนี้ชำระหนี้จำนวน 103,062,745.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 97,111,610.72 บาท นับแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่เจ้าหนี้และลูกหนี้ไม่มีสิทธินำเงินที่ตนเป็นเจ้าหนี้บริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) มาหักกับเงินที่ต้องชำระให้เจ้าหนี้ซึ่งหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวถึงที่สุดดังนั้นแผนฟื้นฟูกิจการที่กำหนดให้เจ้าหนี้รายที่ 3 ลดยอดหนี้ลง และให้ได้สิทธิการชำระเงินจากบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยการหักชำระหนี้เต็มจำนวนแทนที่จะได้รับการชำระหนี้จากลูกหนี้ ซึ่งต่างกับเจ้าหนี้กลุ่มอื่น ๆ ที่กำหนดให้ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ การหักชำระหนี้เต็มจำนวนนั้นย่อมทำให้เจ้าหนี้รายที่ 3เสียเปรียบเจ้าหนี้รายอื่นที่ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรง ประกอบกับบริษัทสยาม-ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการและลูกหนี้ได้ใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้ว จึงเป็นการไม่แน่นอนว่าบริษัทสยามซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) จะมีเงินชำระให้แก่ลูกหนี้หรือไม่ แม้ว่าเจ้าหนี้รายที่ 3 จะเป็นเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่เพียงรายเดียวที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้กลุ่มที่ 7 ส่วนเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่รายอื่นแผนฟื้นฟูกิจการจัดให้อยู่ในเจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และที่ 8 ซึ่งโดยหลักแล้วแม้แผนฟื้นฟูกิจการสามารถกำหนดชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ต่างกลุ่มกันแตกต่างกันออกไปได้เมื่อมีเหตุอันสมควรหรือเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูกิจการก็ตามแต่เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 3 มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกันและเป็นเจ้าหนี้การค้ารายใหญ่ เช่นเดียวกับเจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และที่ 8 การที่แผนฟื้นฟูกิจการได้นำเจ้าหนี้รายที่ 3 เพียงรายเดียวไปจัดเป็นกลุ่มเจ้าหนี้ต่างหาก และได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกับกลุ่มอื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร อันถือว่ามีความมุ่งหมายที่จะเลือกปฏิบัติ พฤติการณ์ดังกล่าวส่อไปในทางไม่สุจริตโดยมีการเสนอแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้บางส่วนโดยการโอนหนี้ของบุคคลภายนอกมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้รายที่ 3 และเจ้าหนี้รายที่ 3 รับผิดชอบเองในการติดตามหนี้สินดังนั้น แผนฟื้นฟูกิจการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้เจ้าหนี้รายที่ 3 เสียเปรียบที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 3 ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น และเมื่อศาลฎีกาไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการตามที่เจ้าหนี้รายที่ 3 อุทธรณ์แล้ว จึงไม่ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 11 อีก”
พิพากษากลับว่า ไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ และมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/58วรรคสาม ประกอบมาตรา 90/48 วรรคสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ