คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์มีข้อสัญญาเกี่ยวกับความรับผิดของผู้รับประกันภัยต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอก เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการเสี่ยงภัยถึงชีวิต เป็นสัญญาประกันชีวิตเพราะอาศัยความมรณะเป็นเงื่อนไขแห่งการใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 889 ซึ่งกฎหมายไม่ได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะเข้ารับช่วงสิทธิแทนกันได้เหมือนอย่างการประกันวินาศภัย แต่เงินส่วนที่โจทก์จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลก่อนตายและค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นการจ่ายตามกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ตกลงคุ้มครองหาใช่เป็นการประกันชีวิตไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์เก๋งจากนายวิรัช มหาบุษราคัม จำเลยรับประกันภัยรถยนต์บรรทุกจากนายจรินทร์ จันทรชิต อันเป็นการประกันภัยค้ำจุนรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อบุคคลภายนอก นายวิรัชขับรถยนต์เก๋งโดยมีนายสมชัย มหาบุษราคัมนางสาวอรวรรณ มหาบุษราคัม นายณัฐพล นพรัตน์นั่งมาด้วย ขณะขับมาถึงถนนอ้อมค่ายวชิราวุธมีรถยนต์บรรทุกที่จำเลยรับประกันภัยแล่นสวนทางมาโดยประมาทชนรถยนต์เก๋งได้รับความเสียหายทั้งคัน นายสมชัยถึงแก่ความตาย ส่วนนายวิรัชและนางสาวอรวรรณได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ต้องใช้เงินตามสัญญาประกันภัยไปทั้งสิ้น 357,204 บาท โจทก์ทวงถามจากจำเลยแต่จำเลยเพิกเฉย รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 439,318.51 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 439,718.51 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 387,204 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปตามเงื่อนไขของสัญญาประกันชีวิตซึ่งตามกฎหมายบัญญัติไว้ไม่ให้โจทก์รับช่วงสิทธิอย่างไรก็ดี ความรับผิดของจำเลยต่อบุคคลภายนอกจำกัดไว้ไม่เกินคนละ 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 367,204 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 มีนาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าโคโรล่า หมายเลขทะเบียน 6 ช – 4591 กรุงเทพมหานคร จากนายวิรัช มหาบุษราคัม ผู้เอาประกัน ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.2 จำเลยรับประกันภัยรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ เอนพีอาร์ หมายเลขทะเบียน 80 – 7450 นครศรีธรรมราชเป็นการรับประกันภัยค้ำจุนโดยนายจรินทร์ จันทรชิต เป็นผู้เอาประกัน ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยของทั้งสองฝ่ายมีผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันที่จำเลยรับประกันภัยด้วยความประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายนายสมชัย มหาบุษราคัม บาดเจ็บและต่อมาถึงแก่ความตาย นายวิรัช มหาบุษราคัม นายณัฐพล นพรัตน์ และนางสาวอรวรรณ มหาบุษราคัม ได้รับบาดเจ็บ โจทก์ใช้ค่าเสียหายสำหรับรถยนต์ที่รับประกันภัย จ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและตาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เอกสารหมาย จ.2 ข้อ 2.1 ซึ่งเป็นข้อสัญญาเกี่ยวกับความรับผิดของผู้รับประกันภัยต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอกเป็นสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาข้อนี้โจทก์จ่ายค่ารักษาพยาบาลนายสมชัย 3,204 บาท นายวิรัช 100,000 บาท นางสาวอรวรรณ 100,000 บาท เป็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามข้อตกลงซึ่งผู้รับประกันภัยใช้แทนผู้เอาประกันภัย สัญญาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการเสี่ยงภัยถึงชีวิตเป็นสัญญาประกันชีวิตเพราะอาศัยความมรณะเป็นเงื่อนไขแห่งการใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 889 ซึ่งไม่ได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะเข้ารับช่วงสิทธิแทนกันได้เหมือนอย่างการประกันวินาศภัยแต่เงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย และค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บเป็นการจ่ายตามกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ตกลงคุ้มครองหาใช่เป็นการประกันชีวิตไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายต่อไปว่าความรับผิดของจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 2.1 เริ่มต้นความคุ้มครองตั้งแต่ 50,001 – 100,000 บาท ต่อหนึ่งคนหรือเท่ากับคนละ 50,000 บาท อีก 50,000 บาท เป็นความรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถนั้น เห็นว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุความรับผิดต่อความบาดเจ็บไว้ว่า “เกิน 50,000 บาท ถึง100,000 บาท ต่อหนึ่งคน” เป็นการกำหนดความรับผิดของจำเลยไว้ในความเสียหายส่วนที่เกิน 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งความเสียหายส่วนที่ไม่เกิน 50,000บาท ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมีสิทธิที่จะได้รับจากจำเลยตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอยู่แล้ว และจำเลยยังต้องรับผิดในความเสียหายส่วนที่เกิน 50,000 บาท ด้วย แต่ความรับผิดทั้งหมดเมื่อรวมความรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถแล้วต้องไม่เกินคนละ 100,000 บาท เมื่อโจทก์จ่ายค่ารักษาพยาบาลนายสมชัย นายวิรัชและนางสาวอรวรรณแต่ละคนไม่เกิน 100,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 203,204 บาทโจทก์จึงรับช่วงสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า คดีนี้กับคดีหมายเลขดำที่ 1436/2538 ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช มีมูลคดีเป็นเรื่องเดียวกัน ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดในคดีทั้งสองจะซ้ำซ้อนและเกินจำนวนที่จำเลยควรต้องรับผิด ขอให้พิพากษาให้จำเลยรับผิดคดีนี้เฉพาะในความเสียหายของรถยนต์จำนวน164,000 บาท ส่วนค่าเสียหายเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลให้จำเลยรับผิดในคดีของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เห็นว่า ปัญหานี้จำเลยมิได้ให้การศาลชั้นต้นมิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและศาลอุทธรณ์ก็มิได้วินิจฉัยให้ กรณีต้องถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ อีกทั้งมิได้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง

คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เฉพาะค่ารักษาพยาบาลให้จำเลยชำระ 203,204 บาท จำเลยฎีกาว่าจำเลยต้องรับผิดในเงินจำนวนนี้เพียง 103,204 บาท ดังนั้น ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาจึงมีเพียง 100,000 บาท ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 2,500 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลจากทุนทรัพย์ 439,718 บาทเป็นเงิน10,992.50 บาท จึงไม่ถูกต้อง สมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินให้แก่จำเลย”

พิพากษายืน

Share