คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4264/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และ ส. ตกลงเข้ากันเป็นหุ้นส่วนทำกิจการบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ แม้ในการทำสัญญาขายที่ดินพร้อมอาคารแก่จำเลย จะได้มอบอำนาจให้ ว. เป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน อันมีผลทำให้โจทก์และ ส. ผูกพันตามสัญญาที่ ว. ทำไว้กับจำเลย ซึ่งโจทก์หรือ ส. ผู้เป็นหุ้นส่วนมีสิทธิฟ้องจำเลยได้โดยลำพังก็ตาม แต่การฟ้องคดีก็จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน เมื่อโจทก์และ ส. ยังเป็นหุ้นส่วนกันอยู่ การที่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้เฉพาะส่วนของตนกึ่งหนึ่ง จึงเป็นการฟ้องเรียกหนี้สินของห้างหุ้นส่วนสามัญในฐานะส่วนตัว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และนายสามารถตกลงเข้ากันเป็นหุ้นส่วนซื้อที่ดินแปลงใหญ่โฉนดตราจองเลขที่ 4322 เพื่อจัดสรรพร้อมก่อสร้างบ้านและอาคารพาณิชย์ขาย จำเลยทำสัญญาจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 13967 ซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงใหญ่พร้อมอาคารพาณิชย์ขนาด 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 2 ห้อง จากโจทก์และนายสามารถในราคารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,880,000 บาท โดยตกลงโอนกรรมสิทธิ์เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ในวันดังกล่าวจำเลยวางเงินมัดจำไว้ 80,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย หลังจากนั้นโจทก์และนายสามารถโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพาณิชย์ให้แก่จำเลยตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยชำระราคาเพียง 400,000 บาท คงค้างชำระเงิน 2,400,000 บาท เมื่อโจทก์และนายสามารถตกลงเข้าหุ้นกันทำบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ แม้ในการทำสัญญาโจทก์และนายสามารถจะมอบอำนาจให้นายวัลลภเป็นผู้มีอำนาจทำสัญญาขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์แก่จำเลย ตามหนังสือมอบอำนาจ และหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำ อันมีผลทำให้โจทก์และนายสามารถต้องผูกพันตามสัญญาที่ทำไว้กับจำเลย ซึ่งโจทก์หรือนายสามารถผู้เป็นหุ้นส่วนมีสิทธิฟ้องจำเลยได้โดยลำพังก็ตาม แต่การฟ้องคดีก็ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน เมื่อโจทก์เบิกความยอมรับว่าหนี้ตามฟ้องโจทก์และนายสามารถยังเป็นหุ้นส่วนกันอยู่ การที่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้เฉพาะส่วนของตนกึ่งหนึ่ง เป็นเงิน 1,200,000 บาท จึงเป็นการฟ้องเรียกหนี้สินของห้างหุ้นส่วนสามัญในฐานะส่วนตัว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องได้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share