คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ต่อศาลจังหวัด เมื่อจำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์จึงกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท ศาลจังหวัดจึงให้โอนคดีไปให้ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาต่อไป ศาลแขวงไม่รับโอนคดีและส่งสำนวนคืนศาลจังหวัด เมื่อศาลจังหวัดรับสำนวนคืนมาแล้ว ได้นัดพร้อมและแจ้งคำสั่งของศาลแขวงให้คู่ความทราบ จึงเป็นกรณีที่ศาลจังหวัดกับศาลแขวงต่างไม่รับพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ แม้เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นการโต้แย้งคำสั่งของศาลแขวงที่ไม่ยอมรับโอนคดี แต่เมื่อศาลจังหวัดรับสำนวนคืนจากศาลแขวงไว้แล้ว ทั้งคดีจะต้องมีปัญหาวินิจฉัยว่า ระหว่างศาลจังหวัดกับศาลแขวงศาลใดจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป โจทก์ชอบที่จะมีสิทธิอุทธรณ์คดีนี้โดยยื่นต่อศาลจังหวัดได้ โจทก์ได้รับแจ้งคำสั่งจากศาลจังหวัดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์วันที่ 17 ธันวาคม 2545 อันเป็นการอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 อุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนี้อีกต่อไป ให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์ ๗๗,๔๐๐ บาท และหากจำเลยพร้อมบริวารไม่ยอมออกจากที่ดิน ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องและให้มีหนังสือแจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา สาขาอำเภอสะเดา แก้ชื่อทางทะเบียนเป็นชื่อของจำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้เริ่มต้นเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามที่คู่ความรับกันว่าไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลแขวง จึงให้โอนคดีนี้ไปให้ศาลแขวงสงขลาพิจารณาพิพากษาต่อไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๖ วรรคท้าย
ศาลแขวงสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๖ วรรคท้าย เป็นการโอนคดีโดยผลของกฎหมาย แต่คดีนี้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นแต่ต้น แม้ภายหลังจำเลยยื่นคำให้การทำให้กลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ศาลแขวงสงขลาก็ไม่มีอำนาจรับโอนคดี จึงส่งสำนวนคดีคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นรับสำนวนคืนมาแล้วแจ้งคำสั่งของศาลแขวงสงขลาให้คู่ความทราบเพื่อให้คู่ความดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลแขวงสงขลาไม่รับโอนคดีและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นรับสำนวนคืนมาแล้ว ได้นัดพร้อมคู่ความเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ และแจ้งคำสั่งของศาลแขวงสงขลาให้คู่ความทราบเพื่อให้คู่ความดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นกับศาลแขวงสงขลาต่างไม่รับพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ แม้เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นการโต้แย้งคำสั่งของศาลแขวงสงขลาที่ไม่ยอมรับโอนคดี แต่เมื่อศาลชั้นต้นรับสำนวนคืนจากศาลแขวงสงขลาไว้แล้ว ทั้งคดีจะต้องมีปัญหาวินิจฉัยว่า ระหว่างศาลชั้นต้นกับศาลแขวงสงขลาศาลใดจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป โจทก์ชอบที่จะมีสิทธิอุทธรณ์คดีนี้โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นได้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับแจ้งคำสั่งจากศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๕ อันเป็นการอุทธรณ์ภายในกำหนด ๑ เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๙ อุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทซึ่งเป็นทุนทรัพย์ของคดีไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงสงขลาที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๗ ประกอบมาตรา ๒๔ (๔) ศาลชั้นต้นชอบที่จะโอนคดีเรื่องนี้ไปให้ศาลแขวงสงขลาพิจารณาพิพากษาต่อไป อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลแขวงสงขลาให้ศาลแขวงสงขลารับโอนคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share