คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260-4262/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2519 เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 (7) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 และประกาศกระทรวงการคลังฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2519 เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาต ฯ ใช้บังคับ บริษัทที่ประกอบธุรกิจเงินทุนจะต้องยื่นคำขอรับอนุญาตภายใน 60 วัน และจะมีสาขาไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถ้าบริษัทใดมีสาขาอยู่แล้วและประสงค์จะมีสาขานั้นต่อไปก็ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตไปพร้อมกันด้วย บริษัทจำเลยที่ 2 เปิดสาขาหลังจากวันที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ข้อ 5 (7), 16
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชนจึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5 (7), 16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๒ จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันเปิดสาขาของบริษัทจำเลยที่ ๒ ประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตและฉ้อโกงประชาชน ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๕ ข้อ ๕ (๗). ๗, ๘, ๑๖ ประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ ข้อ ๕ เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการขออนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาตตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑, ๓๔๓, ๘๓
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งห้ามีความผิดตามฟ้อง ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ ซึ่งเป็นบทหนัก
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ฎีกาว่า ในระหว่างที่บริษัทจำเลยที่ ๒ ยื่นคำขอรับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง จำเลยที่ ๒ มีสิทธิเปิดสำนักงานสาขาได้นั้นตามประกาศกระทรวงการคลัง ข้อ ๕ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๑๕ เรื่อง กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ (๗) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ได้กำหนดไว้ว่า บริษัทเงินทุนอาจมีสาขาได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ตามประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับนี้ข้อ ๒๑ ได้กำหนดไว้ว่า บริษัทจำกัดจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ประกอบธุรกิจเงินทุนอยู่ในวันที่ประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ (๗) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ใช้บังคับ ถ้าประสงค์จะประกอบกิจการนั้นต่อไป ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตภายในหกสิบวัน นับแต่รัฐมนตรีประกาศกำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาต และในข้อ ๒๓ ได้กำหนดไว้อีกว่า บริษัทจำกัดที่ยื่นคำขอรับอนุญาตตามข้อ ๒๑ ที่มีสาขาซึ่งประกอบธุรกิจอยู่แล้วในวันที่ประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ (๗) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ใช้บังคับ ถ้าประสงค์จะมีสาขานั้นต่อไป ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตพร้อมกับคำขอรับอนุญาตตามข้อ ๒๑ ตามประกาศกระทรวงการคลังข้อ ๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๒๔ ดังกล่าวแล้วนั้นย่อมหมายความว่า นับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลัง (ฉบับแรก) ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ (๗) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ใช้บังคับบริษัทใดจะมีสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนได้จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นับตั้งแต่ประกาศกระทรวงการคลังฉบับแรกใช้บังคับนั้น บริษัทที่ประกอบธุรกิจเงินทุนจะมีสาขาไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถ้าบริษัทใดมีสาขาอยู่แล้วในขณะที่ประกาศกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าว (ฉบับแรก) ใช้บังคับ ก็ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตพร้อมกับคำขอรับอนุญาตในข้อ ๒๑ ประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาต ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่๒๒ กันยายน ๒๕๑๕ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๑๕ เป็นต้นไป ปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ ๒ ได้เปิดสาขาในระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๖ ถึงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวใช้บังคับแล้ว และเป็นการเปิดสาขาโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๕๘ ข้อ ๕ (๗)และข้อ ๑๖ ประกาศกระทรวงการคลัง ข้อ ๕ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๕ เรื่อง กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ (๗) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ตามโจทก์ฟ้อง ที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ อ้างว่าบริษัทจำเลยที่ ๒ มีสิทธิเปิดสาขาได้นั้นฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาที่ว่านายโกศัย นายนิมิตร เรือเอกพีระยุทธ นางบุญสม โจทก์ร่วมและผู้ที่นำเงินมาฝากไม่ใช่ผู้เสียหายนั้น ปรากฏว่านางจำนงค์เป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขาลาดพร้าว นายนิมิตรเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขาเสนา เรือเอกพีระยุทธเป็นผู้จัดการสาขาบ้านฉาง โดยมีนางบุญสมเป็นรองผู้จัดการ โจทก์ร่วมเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขานนทบุรี การที่บุคคลเหล่านี้นำเงินมาฝากไว้กับบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อเป็นประกัน ร่วมเปิดกิจการสาขาและชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ ๒ ก็เนื่องจากหลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ยังถือไม่ได้ว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่เป็นผู้เสียหายดังที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ฎีกา ส่วนข้อที่ว่าผู้ที่นำเงินมาฝากไม่ใช่ผู้เสียหายด้วยนั้น ก็ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากจำเลยที่ ๒ นั้นเนื่องมาจากความเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ ๒ จึงหาใช่เป็นมูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ ๒ ได้ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์มิได้หลอกลวงประชาชน จึงไม่มีความผิด พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ คนละ ๔ ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ ๑ ไว้นั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นกรรมเดียวและลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ นั้นเห็นว่ายังไม่ถูกต้องเพราะความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๕๘ ข้อ ๕ (๗) และข้อ ๑๖ ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยทั้งห้าเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share