คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบันทึกการร้องทุกข์มอบคดีความผิดอันยอมความได้โจทก์ร่วมขอร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 คนเดียว และในบันทึกนั้นได้แจ้งพฤติการณ์แห่งความผิดต่อพนักงานสอบสวนไว้ว่านายโกและจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกระทำความผิดต่อโจทก์ร่วมอย่างไรบ้าง แล้วพนักงานสอบสวนได้สั่งออกหมายจับทั้งนายโกและจำเลยทั้งสองไว้ ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนในวันนั้นเองโจทก์ร่วมก็ชี้ตัวจำเลยที่ 2 ยืนยันว่าร่วมกระทำผิดด้วยฟังได้ว่าโจทก์ร่วมร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนโดยมีเจตนาให้จำเลยที่ 2 ได้รับโทษด้วย มิใช่เจตนาที่จะให้จำเลยที่ 1 ได้รับโทษแต่เพียงคนเดียว การที่บันทึกการร้องทุกข์มอบคดีความผิดอันยอมความได้ระบุว่าโจทก์ร่วมขอร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 คนเดียวเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนผู้จดบันทึกคำร้องทุกข์เองหาใช่โจทก์ร่วมไม่มีเจตนาจะให้จำเลยที่ 2 ได้รับโทษด้วยไม่การร้องทุกข์และการสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายคนที่หลบหนีได้ร่วมกันพานางสาวจิ๋ว ตรีเพชร ผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการฉุดผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 4
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสาวจิ๋ว ตรีเพชร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 86 จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะในปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ร่วมเบิกความว่า โจทก์ร่วมได้ลงชื่อในบันทึกการร้องทุกข์มอบคดีความผิดอันยอมความได้ตามเอกสารหมาย จ.3 เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่นายโกและพวกร้อยตำรวจตรีสรไกร พูลเพิ่ม พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า ได้สั่งออกหมายจับทั้งนายโกและจำเลยทั้งสองไว้ ต่อมาเมื่อวันที่ 2มิถุนายน 2529 จำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ในวันนั้นเองโจทก์ร่วมก็ได้ชี้ตัวจำเลยที่ 2 ยืนยันว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.4 ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าว จำเลยที่ 2 มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนโดยมีเจตนาที่จะให้จำเลยที่ 2 ได้รับโทษด้วย มิใช่มีเจตนาที่จะให้จำเลยที่ 1 ได้รับโทษแต่เพียงคนเดียว ดังนี้ แม้ตามบันทึกการร้องทุกข์มอบคดีความผิดอันยอมความได้ เอกสารหมาย จ.3 จะมีข้อความว่าโจทก์ร่วมขอร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ไว้เพียงคนเดียว แต่ก็ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้แจ้งพฤติการณ์แห่งความผิดต่อพนักงานสอบสวนไว้ด้วยว่า นายโกและจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกระทำความผิดต่อโจทก์ร่วมอย่างไรบ้าง เมื่อพิเคราะห์เอกสารหมาย จ.3 ประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวแล้วฟังได้ว่า โจทก์ร่วมได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ด้วย การที่เอกสารหมาย จ.3 ระบุว่าโจทก์ร่วมขอร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 คนเดียวจึงเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนจดบันทึกคำร้องทุกข์เอง หาใช่โจทก์ร่วมไม่มีเจตนาจะให้จำเลยที่ 2 ได้รับโทษด้วยไม่ การร้องทุกข์และการสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
พิพากษายืน.

Share