คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จัดให้มีบริการโทรศัพท์และเรียกเก็บเงินค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์กับค่าใช้บริการโทรศัพท์นั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลจำพวกที่ค้าในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่าและเป็นผู้ค้ำในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6),(7) สิทธิเรียกร้องค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์และค่าใช้บริการโทรศัพท์ของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี มิใช่ 10 ปี ตามมาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าโทรศัพท์จากโจทก์ค้างค่าเช่าและค่าบำรุงรักษาเป็นเงิน 55,199.50 บาท โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและนำเงินประกันการใช้โทรศัพท์ของจำเลย 3,000 บาทหักออกแล้วเหลือหนี้ที่จำเลยค้างชำระ 52,199.50 บาท และค่าเครื่องโทรศัพท์ราคา 1,300 บาทของโจทก์ที่ยังถอนคืนไม่ได้รวมเป็นเงิน 53,499.50 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สิทธิเรียกร้องค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์และค่าธรรมเนียมในการใช้โทรศัพท์ของโจทก์ขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าเครื่องโทรศัพท์1,300 บาท ค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2528เป็นเงิน 50 บาทรวม 1,350 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์จัดให้มีบริการโทรศัพท์และเรียกเก็บเงินค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์กับค่าใช้บริการโทรศัพท์นั้นถือได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลจำพวกที่ค้าในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่า และเป็นผู้ค้าในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6),(7) ดังนั้นสิทธิเรียกร้องค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์และค่าใช้บริการโทรศัพท์ของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์2530 เพราะฉะนั้นสิทธิเรียกร้องสำหรับค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์และค่าใช้บริการโทรศัพท์ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share