คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4259/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพี่ชาย ส. แต่ปฏิเสธอ้างว่าไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนของกลางที่อยู่ในกระโปรงท้ายรถของ ส. ปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านของ ส. และจับกุมภริยาของ ส. กับพวกได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวนหนึ่ง ส่วน ส. หลบหนีไปได้ จำเลยซึ่งมีบ้านอยู่เยื้องฝั่งถนนตรงกันข้ามย่อมทราบดีว่า ส. เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ การที่ ส. นำรถยนต์ของกลางมาจอดภายในโรงจอดรถใต้ถุนบ้านของจำเลยนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติเนื่องจากบริเวณบ้านของ ส. มีพื้นที่เพียงพอที่จะจอดรถยนต์ของกลางได้ ทั้งการที่รถยนต์ของกลางไม่ได้ถูกล็อกหรือไม่มีลายนิ้วมือของจำเลยอยู่ที่รถยนต์คันดังกล่าว ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าจำเลยไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลาง การกระทำของจำเลยเพียงแต่ช่วยปกปิดซ่อนเร้นเมทแอมเฟตามีนของ ส. ก็ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับ ส. ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายตามฟ้องแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและเครื่องดูดฝุ่นของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ริบเมทแอมเฟตามีนและเครื่องดูดฝุ่นของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีนและเครื่องดูดฝุ่นของกลาง
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 699,600 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 12,103.777 กรัม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาหรือไม่ ได้ความจากพันตำรวจตรี สมพงศ์ และร้อยตำรวจโท มงคล พยานโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุพยานทั้งสองได้รับแจ้งจากสายลับว่านายสำราญหรือมือแรบาการ่วมกับนางนารือม๊ะ ภริยาลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษให้แก่ผู้ค้าในพื้นที่และส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศมาเลเซีย พยานจึงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสืบสวนหาข่าวเพิ่มเติม ต่อมาวันที่ 17 กันยายน 2558 พยานทั้งสองกับพวกร่วมกันตรวจค้นบ้านนายสำราญและจับกุมนางนารือม๊ะ กับพวก 1 คน พร้อมยึดยาเสพติดให้โทษหลายรายการได้แก่ เมทแอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด พืชกระท่อม และยาแก้ไอเป็นของกลาง สายลับแจ้งว่านายสำราญหลบหนีไปพร้อมกับเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนและไปอยู่กับบุตรชายที่ประเทศมาเลเซีย นายสำราญรับเมทแอมเฟตามีนมาจากเครือข่ายค้ายาเสพติดทางภาคเหนือแล้วนำมาซุกซ่อนที่บ้านของตนและบ้านของจำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ดูแลและส่งออกไปยังผู้ค้าที่ประเทศมาเลเซีย ต่อมาสายลับแจ้งว่านายสำราญรับเมทแอมเฟตามีน เฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด มาจากภาคเหนือของประเทศไทยและซุกซ่อนไว้ที่บ้านของนายสำราญ เลขที่ 54/1 หมู่ที่ 3 บ้านประดังยอ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก – ลก จังหวัดนราธิวาส และที่บ้านของจำเลยซึ่งเป็นพี่ชายที่อยู่เยื้องกัน นายสำราญใช้รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส หมายเลขทะเบียน กค 5738 นราธิวาส และรถกระบะยี่ห้อฟอร์ดเป็นยานพาหนะ ในวันเกิดเหตุพยานทั้งสองกับพวกจึงวางแผนจับกุมโดยเดินทางไปตรวจค้นที่บ้านของจำเลย ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย เมื่อตรวจโรงจอดรถใต้ถุนบ้าน ซึ่งล้อมรอบสามด้านด้วยอิฐฉาบปูน ประตูหน้าทำด้วยสังกะสีมีกุญแจล็อกไว้ไม่สามารถเปิดได้ ระหว่างร่องประตูมีช่องว่างพอมองเห็นรถยนต์เก๋งสีแดงจอดอยู่ จำเลยบอกว่าเป็นรถยนต์ของนายสำราญและไม่มีกุญแจไขประตูโรงจอดรถ จึงพากันอ้อมไปเข้าประตูเล็กทางด้านหลัง ซึ่งไม่ได้ล็อกกุญแจ รถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้ล็อกประตู พบบัตรประจำตัวประชาชน ใบอนุญาตขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของนายสำราญอยู่ในที่เก็บของข้างประตูรถยนต์ด้านคนขับ ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย แต่เมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายรถพบเมทแอมเฟตามีน 696,000 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีดำ 3 ถุง จำเลยบอกว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของนายสำราญ และจำเลยนำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นบ้านของนายสำราญ พบเมทแอมเฟตามีนอีก 3,600 เม็ด อยู่ในเครื่องดูดฝุ่น ชั้นสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การปฏิเสธว่านายสำราญเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนและรถยนต์ของกลางแต่ผู้เดียว ส่วนจำเลยนำสืบปฏิเสธว่า จำเลยห้ามปรามนายสำราญไม่ให้ต่อเติมใต้ถุนบ้านของจำเลยเป็นโรงจอดรถของนายสำราญ แต่นายสำราญไม่เชื่อฟัง จำเลยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับโรงจอดรถ จำเลยไม่ทราบว่านายสำราญเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและไม่ทราบว่าวันเกิดเหตุนายสำราญนำรถมาจอดใต้ถุนบ้านของจำเลยตั้งแต่เมื่อใด เห็นว่า ก่อนเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านของจำเลย เจ้าพนักงานตำรวจทราบจากสายลับว่านายสำราญและภริยาลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษให้แก่ผู้ค้าในพื้นที่และส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศมาเลเซียจึงเข้าตรวจค้นบ้านของนายสำราญ ปรากฏว่านายสำราญหลบหนีไปได้คงจับกุมได้แต่ภริยาของนายสำราญกับพวกอีก 1 คน พร้อมยึดยาเสพติดให้โทษได้หลายรายการ และจากการติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของนายสำราญ เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบอีกว่า นายสำราญหลบหนีไปอยู่กับบุตรชายที่ประเทศมาเลเซียและซุกซ่อนยาเสพติดให้โทษไว้ตามบ้านญาติตามแนวชายแดนโดยจำเลยเป็นพี่ชายของนายสำราญมีบ้านอยู่เยื้องกับบ้านของนายสำราญและนายสำราญใช้รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีแดง หมายเลขทะเบียน กค 5738 นราธิวาส และรถกระบะยี่ห้อฟอร์ด สีเทา หมายเลขทะเบียน ป้ายแดง ก 1404 ปัตตานี ในการรับและส่งยาเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจจึงเข้าตรวจค้นบ้านของจำเลยและจับกุมจำเลยพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนของกลาง แสดงให้เห็นว่าการตรวจค้นบ้านของจำเลยเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนของเจ้าพนักงานตำรวจ เนื่องจากการติดตามขบวนการค้ายาเสพติดให้โทษในเครือข่ายของนายสำราญ จำเลยเป็นพี่ชายของนายสำราญและมีบ้านอยู่เยื้องกับบ้านของนายสำราญ สภาพบ้านของจำเลยอยู่ต่ำกว่าถนนมาก ล้อมรอบด้วยป่าละเมาะไม่สะดวกแก่การนำรถยนต์เข้าไปจอดและโรงจอดรถภายในบ้านของจำเลยดังกล่าวมีลักษณะลับตา หากไม่เข้าไปตรวจค้นในบริเวณบ้านก็ยากที่จะพบเห็นรถยนต์และเมทแอมเฟตามีนของกลาง รถยนต์ที่ใช้ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนเป็นของนายสำราญตามที่สืบทราบมาโดยลักษณะของการนำรถยนต์ของกลางเข้าไปจอดในโรงจอดรถในบ้านของจำเลย ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยไม่รู้ว่านายสำราญนำรถยนต์ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนเข้ามาจอดทิ้งไว้ ข้อมูลการกระทำความผิดของจำเลยตามที่ได้จากพยานโจทก์ทั้งสองปากข้างต้นสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญ มีลำดับขั้นตอนเชื่อมโยงต่อเนื่องกันสมเหตุสมผล ไม่มีข้อพิรุธสงสัยในคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปาก อีกทั้งพยานโจทก์ทั้งสองปากเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ ไม่เคยรู้จักหรือเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษในทางอาญา เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองปากเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่รู้เห็นมา มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือรับฟังเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธว่า จำเลยไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนของกลางที่อยู่ในกระโปรงท้ายรถของนายสำราญ ก็ปรากฏว่าก่อนการตรวจค้นและจับกุมจำเลย เจ้าพนักงานตำรวจระดมกำลังปิดล้อมและตรวจค้นบ้านของนายสำราญเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 และจับกุมภริยาของนายสำราญกับพวกอีก 1 คน ได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนได้จำนวนหนึ่ง ส่วนนายสำราญหลบหนีไปได้ จำเลยซึ่งมีบ้านอยู่เยื้องฝั่งถนนตรงกันข้ามย่อมทราบดีว่านายสำราญเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ การที่นายสำราญนำรถยนต์ของกลางมาจอดภายในโรงจอดรถใต้ถุนบ้านของจำเลย นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติเนื่องจากบริเวณบ้านของนายสำราญมีพื้นที่เพียงพอที่จะจอดรถยนต์ของกลางได้ ทั้งการที่รถยนต์ของกลางไม่ได้ถูกล็อกหรือไม่มีลายนิ้วมือของจำเลยอยู่ที่รถยนต์ดังกล่าว ไม่ได้พิสูจน์ว่าจำเลยไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลาง การกระทำของจำเลยเพียงแต่ช่วยปกปิดซ่อนเร้นเมทแอมเฟตามีนของนายสำราญ ก็ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับนายสำราญครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ว่านายสำราญกับจำเลยเคยทะเลาะกันเนื่องจากจำเลยห้ามปรามนายสำราญไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและไม่ให้นายสำราญสร้างโรงจอดรถในบ้านของจำเลยนั้น เป็นเรื่องภายในระหว่างจำเลยกับนายสำราญซึ่งจะเป็นความจริงดังที่จำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ บุคคลภายนอกไม่อาจรู้ได้ แต่โดยพฤติการณ์ของจำเลยตามที่ได้จากพยานโจทก์ทั้งสองปากข้างต้นไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องที่จำเลยให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจในการตรวจค้นรถยนต์ของกลาง ทั้งได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นบ้านของนายสำราญและพบเมทแอมเฟตามีนอีก 3,600 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในเครื่องดูดฝุ่นโดยจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีแสดงว่าจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของนายสำราญ นั้น ก็ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดเนื่องจากขณะนั้นเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมจำเลยอยู่ แต่เป็นการจำนนต่อพยานหลักฐาน แม้จำเลยไม่ให้ความร่วมมือหรือปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนของกลาง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยต้องหาทางปฏิเสธเพื่อให้พ้นผิด ข้อต่อสู้ของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ด้วยเหตุดังวินิจฉัยมาข้างต้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยเป็นข้อปลีกย่อย ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share