คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4235/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อโจทก์ต้องการสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารที่เกี่ยวกับประเด็นตามคำฟ้อง ก็เพื่อให้เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ออกหมายเรียกพยานบุคคลและขอให้มีคำสั่งเรียกเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ จึงไม่ชอบ
ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ โจทก์มีคำขอ 3 ประการ คือ เกี่ยวกับที่ดิน เกี่ยวกับบ้านและเกี่ยวกับต้นไม้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 คงวินิจฉัยแต่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินเท่านั้นว่าเป็นเพียงคำมั่นว่าจะให้ อันเป็นการวินิจฉัยจากพยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบ เนื่องจากศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ออกหมายเรียกพยานบุคคลและขอให้มีคำสั่งเรียกพยานเอกสารมาสืบดังกล่าว ซึ่งถ้านำสืบจนสิ้นกระแสความ ข้อเท็จจริงก็อาจรับฟังได้เป็นอย่างอื่น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้แก้ไข ถือได้ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบรรลุโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 113923 ตำบลไร่น้อย อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียน ขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ 113923 และหากจำเลยไม่สามารถโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 113923 แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยชดใช้ค่าที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และไม้ยืนต้น ไม้ผลและพืชสวนบนที่ดินดังกล่าว เป็นเงิน 516,635 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า การพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นรับฟ้อง ศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานและกำหนดแนวทางการดำเนินคดีหรือสืบพยานโจทก์วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทำคำให้การแก้คดียื่นต่อศาลภายในกำหนด จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์มีคำขอต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โดยให้สืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว นัดสืบพยานโจทก์ตามกำหนดเดิม ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีที่ถูกต้องแล้ว ตามสำนวนอันดับ 1 ถึงอันดับ 11 แต่หลังจากสำนวนอันดับ 11 เป็นต้นไป มีกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาคดีและพิจารณาพยานหลักฐานไม่ถูกต้องเหมาะสมหลายประการ เริ่มตั้งแต่โจทก์ยื่นคำร้องตั้งแต่ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกพยานบุคคลหลายปากมาเบิกความเป็นพยานโจทก์และมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องอ้างว่าเป็นพยานที่ฟุ่มเฟือยเกินสมควรและไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีทั้ง ๆ ที่เกี่ยวกับประเด็นตามคำฟ้องโดยตรง และแม้เป็นคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อโจทก์ต้องการสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารที่เกี่ยวกับประเด็นตามคำฟ้องโดยตรง ก็เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ต้องการนำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ชอบที่จะยกคำร้องของโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องไว้แล้ว นอกจากนี้ในส่วนของคำพิพากษาทั้งของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ไม่ชอบ เพราะตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ โจทก์มีคำขอ 3 ประการ คือ เกี่ยวกับที่ดิน เกี่ยวกับบ้านและเกี่ยวกับต้นไม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 คงวินิจฉัยแต่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินเท่านั้น มิได้วินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับบ้านและเกี่ยวกับต้นไม้แต่อย่างใด นอกจากนั้นการที่วินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินที่ว่าเป็นเพียงคำมั่นว่าจะให้ ก็เป็นการวินิจฉัยจากพยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบซึ่งไม่อาจนำสืบได้สิ้นกระแสความ เนื่องจากศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ที่ขอหมายเรียกพยานบุคคลหลายปากมาสืบและขอคำสั่งเรียกพยานเอกสารมาสืบดังกล่าว ซึ่งถ้านำสืบจนสิ้นกระแสความ ข้อเท็จจริงก็อาจรับฟังได้เป็นอย่างอื่น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ สมควรเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียบางส่วนเริ่มตั้งแต่หลังสำนวนอันดับ 11 เป็นต้นไป โดยให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และมาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247 (เดิม) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำพิพากษาศาลชั้นต้นกับให้เพิกถอนการพิจารณาเริ่มตั้งแต่หลังสำนวนอันดับ 11 เป็นต้นไป ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share