คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4229/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นได้ยกขึ้นวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยที่2ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามยอมนับได้ว่ามีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องและเพื่อให้ชำระหนี้ตามที่เรียกร้องย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความบังคับคดีโจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่2อีกได้แม้ศาลชั้นต้นจะได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าโจทก์ไม่นำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่2เป็นหนี้โจทก์เท่าใดแน่นอนประกอบกับจำเลยที่2มีเงินมาวางศาลประกันการชำระหนี้พอกับจำนวนหนี้ที่โจทก์อ้างว่ายังค้างชำระคดีจึงยังไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยที่2เป็นบุคคลล้มละลายก็ตามแต่ปัญหาที่ว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยที่2ล้มละลายนั้นเป็นหนี้ที่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้หรือไม่ย่อมเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา14แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483ด้วยดังนั้นประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่2ได้อีกหรือไม่จึงนับว่าประเด็นสำคัญโดยตรงในคดีหาใช่นอกประเด็นของคดีล้มละลายไม่และคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวอาจมีผลผูกพันคู่ความในคดีและกระทบต่อสิทธิของจำเลยที่2ให้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่2จึงเป็นสาระแก่คดีที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยให้แม้จำเลยที่2จะเป็นฝ่ายชนะในผลแห่งคดีก็ตาม กำหนดเวลาให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271มิใช่เรื่องอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องอันจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลงมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจำเลยทั้งสองตกลงจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน1ปีนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่19มกราคม2526ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามคำพิพากษาได้แล้วการที่จำเลยที่2ไม่ชำระหนี้และโจทก์ได้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่2ชำระหนี้บางส่วนแล้วก็ตามโจทก์ก็ชอบที่จะบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ที่เหลือจากจำเลยที่2ภายใน10ปีนับแต่วันที่19มกราคม2526แต่โจทก์ได้นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่2ขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่20พฤษภาคม2536ซึ่งพ้นกำหนดสิบปีแล้วโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อหนี้ตามฟ้องโจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำหนี้ตามฟ้องมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยที่2ล้มละลายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9/2525 ของศาลชั้นต้นแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 2ออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2530 เมื่อนำเงินที่จำเลยทั้งสองชำระบางส่วนจำนวน 267,500 บาท กับที่ได้จากการขายทอดตลาดหักทอนกับหนี้ค้างชำระแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 76,752.20 บาท และนับแต่วันที่ 20กันยายน 2530 โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 76,804.77 บาท รวมเป็นเงิน 153,556.97 บาทจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์อื่นใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน318,829.05 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จภายใน 1 ปี คือภายในวันที่ 19 มกราคม 2526 และโจทก์มีสิทธิ์บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองให้เสร็จภายใน 10 ปี ปัจจุบันพ้นกำหนด10 ปี แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดี จำเลยทั้งสองมีทรัพย์มากกว่าหนี้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความบังคับคดี คดีมีเหตุไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย และโจทก์ก็ไม่นำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์เท่าใดแน่นอน และจำเลยที่ 2 ได้นำเงินมาวางศาลประกันการชำระหนี้พอกับหนี้ที่โจทก์อ้างว่ายังค้างชำระ คดียังไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย พิพากษายกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นอุทธรณ์นอกประเด็น ไม่ทำให้ผลเปลี่ยนแปลง ศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่รับวินิจฉัยพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นหนี้ที่โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับแก่จำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่ามิใช่เป็นประเด็นโดยตรงของคดีล้มละลายและไม่รับวินิจฉัยให้ ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความบังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 2 และโจทก์มีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 อีกได้คำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียของจำเลยที่ 2ขอให้ศาลฎีกาหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นได้ยกขึ้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามยอมนับได้ว่ามีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องและเพื่อให้ชำระหนี้ตามที่เรียกร้องย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความบังคับคดี โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 อีกได้แม้ศาลชั้นต้นจะได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังว่าโจทก์ไม่นำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์เท่าใดแน่นอนประกอบกับจำเลยที่ 2 มีเงินมาวางศาลประกันการชำระหนี้พอกับจำนวนหนี้ที่โจทก์อ้างว่ายังค้างชำระ คดีจึงยังไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายก็ตาม แต่ปัญหาที่ว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายนั้นเป็นหนี้ที่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้หรือไม่ ย่อมเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ด้วย ดังนั้นประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 2 ได้อีกหรือไม่ จึงนับว่าประเด็นสำคัญโดยตรงในคดี หาใช่นอกประเด็นของคดีล้มละลายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยไม่และคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวอาจมีผลผูกพันคู่ความในคดีและกระทบต่อสิทธิของจำเลยที่ 2 ให้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2จึงเป็นสาระแก่คดี แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นฝ่ายชนะในผลแห่งคดีก็ตาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2และพิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเพื่อมิให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน ปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 2 ได้อีกหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า กำหนดเวลาให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 มิใช่เรื่องอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องอันจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลงมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ เมื่อปรากฎว่าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยทั้งสองตกลงชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2526ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามคำพิพากษาได้แล้ว การที่จำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้และโจทก์ได้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ชำระหนี้บางส่วนแล้วก็ตาม โจทก์ก็ชอบที่จะบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ที่เหลือจากจำเลยที่ 2 ภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2526 แต่โจทก์ได้นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 2 ขอให้ล้มละลาย เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2536 ซึ่งพ้นกำหนดสิบปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อหนี้ตามฟ้องมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share