แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ค่าเครื่องประดับให้แก่โจทก์ด้วยเช็ค 2 ฉบับ เป็นเช็คลงวันที่20 กุมภาพันธ์ 2532 และเช็คลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2532 ครั้นเช็ค 2 ฉบับดังกล่าวถึงกำหนดชำระแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อได้ความดังกล่าวถือได้ว่า กำหนดเวลาชำระหนี้ค่าเครื่องประดับ คือ วันเดือนปีที่กำหนดไว้ในเช็ค 2 ฉบับ มิใช่วันที่ซื้อขายหรือวันที่ส่งมอบเครื่องประดับ เพราะโจทก์จะไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ค่าเครื่องประดับก่อนวันเดือนปีที่กำหนดไว้ในเช็คได้
คดีรวมการพิจารณาพิพากษา แม้ข้อเท็จจริงในสำนวนแรกจะยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพราะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนี้ทั้งสองสำนวนมาจากมูลกรณีเดียวกันและเป็นการชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันไม่ได้ และถือว่าคำพิพากษาอันเป็นที่สุดของศาลสองศาลขัดกัน จึงต้องถือตามคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่า คือ คำพิพากษาของศาลฎีกาในสำนวนหลังนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ และเมื่อฟังว่าจำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันการซื้อทรัพย์สินครั้งที่สองตามเช็คฉบับที่สองด้วย เมื่อราคาทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ที่ฝากโจทก์ขายและนำไปตีชำระหนี้มีราคามากกว่าหนี้ที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2จึงไม่มีหนี้ที่ต้องชำระให้แก่โจทก์ในสำนวนแรก ส่วนการบังคับคดีในสำนวนแรกให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกนางมาลัยวงศ์เหลือง โจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยในสำนวนหลังว่า โจทก์ และเรียกนางสาวยุพาสมบูรณ์ จำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2
โจทก์สำนวนแรกฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยที่ 2 ได้พาจำเลยที่ 1 มาซื้อเครื่องประดับซึ่งเป็นเพชรทอง และอัญมณีไปจากโจทก์รวมเป็นเงิน 272,000 บาท ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยที่ 1 ได้มาซื้อเพชร ทองและอัญมณีจากโจทก์อีกเป็นเงิน 319,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 591,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพระโขนง จำนวน 2 ฉบับ ชำระค่าสินค้าดังกล่าว เมื่อเช็คฉบับแรกถึงกำหนด ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ติดต่อให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าสินค้าตามเช็คดังกล่าวไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ โดยยินยอมให้โจทก์ยึดอัญมณีและเครื่องประดับต่าง ๆ ของจำเลยที่ 2 ที่ฝากโจทก์ขายโดยตีราคาเป็นการชำระหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1ซื้อไปจากโจทก์ทั้งสองครั้ง ต่อมาเมื่อเช็คฉบับที่สองถึงกำหนด ก็ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าว แต่ติดต่อจำเลยที่ 1ไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 เพิกเฉย โจทก์จึงเอาทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ตีราคาตามท้องตลาดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2532 เป็นเงิน 491,000 บาท หักชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 คงขาดอยู่อีก100,000 บาท จำเลยทั้งสองจะต้องชำระเงินจำนวนนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2532 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 14,375 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 114,375 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 114,375 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ภายในกำหนด 2 ปีคดีขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนการซื้อขายเครื่องประดับระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2532 เป็นเงิน 319,000 บาท นั้น จำเลยที่ 2มิได้รู้เห็น ไม่เคยค้ำประกันการชำระหนี้ดังกล่าว และตามหนังสือค้ำประกันที่ระบุว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ในการซื้อขายครั้งนี้ด้วยนั้น เป็นเอกสารปลอมจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้จำนวนนี้ต่อโจทก์ อีกทั้งการซื้อขายเครื่องประดับระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งสองครั้งเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินกว่า 500 บาทซึ่งโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อบุคคลที่จะต้องรับผิดไว้และไม่มีการชำระหนี้ให้แก่กัน นอกจากนี้จำเลยที่ 2 เคยนำเครื่องประดับฝากไว้แก่โจทก์เพื่อช่วยจำหน่าย ซึ่งโจทก์เองได้ประเมินราคาขั้นต่ำ 685,000 บาท อันเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าหนี้สินของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แต่อย่างไรก็ดีเครื่องประดับที่จำเลยที่ 2 ฝากไว้แก่โจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่นำมาจำนำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินรวมทั้งราคาที่โจทก์ขายทรัพย์สินดังกล่าวได้ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนและสัญญาค้ำประกันนั้นให้ใช้บังคับเอาแก่บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ลูกหนี้ มิได้ใช้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์สำนวนหลังฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2531 จำเลยที่ 2นำเครื่องประดับอันได้แก่ เพชร ทอง และอัญมณี รวม 13 รายการ คิดเป็นเงิน 685,000บาท ไปฝากโจทก์เพื่อช่วยจำหน่าย โดยโจทก์สัญญาว่าเมื่อจำหน่ายเครื่องประดับดังกล่าวได้แล้วจะชำระเงินให้จำเลยที่ 2 โดยเร็ว และหากเครื่องประดับสูญหายหรือเสียหายโจทก์ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายตามราคาเครื่องประดับให้แก่จำเลยที่ 2 หากโจทก์ขายเครื่องประดับดังกล่าวได้เกินกว่าราคาที่ตกลงกันก็ให้ตกเป็นผลประโยชน์ของโจทก์ ต่อมาภายหลังจำเลยที่ 2 ทราบว่าโจทก์ได้จำหน่ายเครื่องประดับดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม2532 แต่โจทก์ไม่แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบและไม่ชำระเงินคืนให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่ตกลงกัน ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายโจทก์ต้องชำระเงิน 685,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2532จนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 111,312.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 796,312.50 บาทขอให้บังคับโจทก์ชำระเงิน 796,312.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงิน 685,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยสำนวนหลังให้การว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยที่ 2ได้พานางสุรางค์หรือสุวนาถ งามวงศ์วีรพัฒน์หรืองามวงศ์วีรพัฒน์มาซื้อเครื่องประดับอันได้แก่ เพชร ทอง และอัญมณี จากโจทก์เป็นเงิน 272,000 บาท ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2532 นางสุรางค์หรือสุวนาถซื้อเครื่องประดับดังกล่าวจากโจทก์อีกเป็นเงิน319,000 บาท โดยชำระค่าสินค้าด้วยเช็คจำนวน 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์2532 จำนวนเงิน 272,000 บาท ฉบับที่สองลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2532 จำนวนเงิน319,000 บาท เมื่อเช็คฉบับแรกถึงกำหนด โจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ติดต่อให้นางสุรางค์หรือสุวนาถชำระเงินไม่ได้ จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของนางสุรางค์หรือสุวนาถไว้ โดยยินยอมให้โจทก์ยึดเครื่องประดับต่าง ๆ ของจำเลยที่ 2 ตีราคาเป็นการชำระหนี้ของนางสุรางค์หรือสุวนาถทั้งสองครั้งจนครบถ้วน ต่อมาเมื่อเช็คฉบับที่สองถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นกัน โจทก์จึงนำเครื่องประดับต่าง ๆ ของจำเลยที่ 2 ตีราคาตามท้องตลาดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2532 เป็นเงิน 491,000 บาท นำไปหักหนี้ของนางสุรางค์หรือสุวนาถ แต่ไม่พอชำระหนี้ คงค้างอยู่อีก 100,000 บาท ฟ้องของจำเลยที่ 2ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์นำทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 ฝากไว้ตีราคาขายชำระหนี้เกินกำหนด 2 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 114,375 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาว่า คดีโจทก์ในสำนวนแรกขาดอายุความหรือไม่นั้น ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ค่าเครื่องประดับให้แก่โจทก์ด้วยเช็ค 2 ฉบับ เป็นเช็คลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2532 และเช็คลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2532ครั้นเช็ค 2 ฉบับ ดังกล่าวถึงกำหนดชำระแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อได้ความดังกล่าวถือได้ว่า กำหนดเวลาชำระหนี้ค่าเครื่องประดับ คือ วันเดือนปีที่กำหนดไว้ในเช็ค2 ฉบับ มิใช่วันที่ซื้อขายหรือวันที่ส่งมอบเครื่องประดับ เพราะโจทก์จะไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ค่าเครื่องประดับก่อนวันเดือนปีที่กำหนดไว้ในเช็คได้ กรณีคดีนี้จึงกำหนดอายุความ 2 ปี โดยเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปคือ วันที่ 21 และ 25 กุมภาพันธ์ 2532 ซึ่งโจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลา2 ปี คือ ภายในวันที่ 20 และ 24 กุมภาพันธ์ 2534 ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องสำนวนแรกในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2534 คดีโจทก์ในสำนวนแรกจึงยังไม่ขาดอายุความ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่าทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 ฝากโจทก์ขายมีราคาเท่าใด และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันชำระหนี้ตามฟ้องกับยินยอมให้นำทรัพย์สินที่ฝากขายตีชำระหนี้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ที่โจทก์ตีราคาทรัพย์ 491,000 บาท เป็นราคาที่เหมาะสมและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 อยู่แล้ว จำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันชำระหนี้ตามฟ้องและยินยอมให้นำทรัพย์สินที่ฝากขายตีชำระหนี้หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้การซื้อทรัพย์สินครั้งที่สองตามเช็คฉบับที่สอง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้จำนวนนี้ และเมื่อได้ความว่าทรัพย์สินตามฟ้องของจำเลยที่ 2 มีราคา 491,000 บาท โจทก์มีสิทธินำไปตีชำระหนี้ที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด 272,000 บาท โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระราคาส่วนที่เหลือ 219,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลยที่ 2 และแม้ข้อเท็จจริงในสำนวนแรกจะยุติเพราะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนี้ทั้งสองสำนวนมาจากมูลกรณีเดียวกันและเป็นการชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันไม่ได้ และถือว่าคำพิพากษาอันเป็นที่สุดของศาลสองศาลขัดกัน จึงต้องถือตามคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่า คือ คำพิพากษาของศาลฎีกาในสำนวนหลังนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคหนึ่งศาลฎีกาจึงมีอำนาจวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันการซื้อทรัพย์สินครั้งที่สองตามเช็คฉบับที่สองด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว ราคาทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ที่ฝากโจทก์ขายและนำไปตีชำระหนี้มีราคามากกว่าหนี้ที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหนี้ที่ต้องชำระให้แก่โจทก์ในสำนวนแรก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงิน 219,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 111,312.50 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนการบังคับคดีในสำนวนแรกให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคหนึ่ง