คำสั่งคำร้องที่ 2623/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และที่จำเลย อ้างว่าการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3เป็นการวินิจฉัยผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน ก็ไม่ปรากฏว่า ผิดไปในเรื่องใดและอย่างไร โดยจำเลยไม่ระบุให้ชัดเจน ในฟ้องฎีกาของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยผิดไปจากคำเบิกความหรือพยานหลักฐาน ในสำนวน เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานในสำนวนว่าโจทก์ ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ระหว่างพิจารณา นายกอง รักเสมอ สามีผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 43(4),157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุก 4 ปีและให้คืนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 82) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)

คำสั่ง พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อที่ โต้เถียงเพียงว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยผิดไปจากคำเบิกความหรือพยานหลักฐานในสำนวนอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยมิได้อ้างอิงแสดงไว้โดยชัดเจนว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยผิดไปจากคำเบิกความหรือพยานหลักฐานในสำนวนอย่างไร จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share