คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3454/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้แย้งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2นำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้องมาปรับเข้ากับตัวบทกฎหมาย โดยไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง แต่เป็น ฎีกาในข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกา โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยครอบครองหรือยึดถือทรัพย์ของโจทก์ไว้ แล้วโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ดังกล่าวคืนดังที่โจทก์ฎีกาไม่ กรณีต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นับแต่เวลาที่จำเลยกระทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเกิน 10 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 136,341.27 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องคดีเกิน1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องชดใช้และพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันทำละเมิดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในชั้นนี้สมควรวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยก่อนว่าฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 หรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาปรับแก่คดีนี้ไม่ถูกต้อง เพราะตามคำฟ้องเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์ของโจทก์จากจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้นเห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้แย้งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้องมาปรับเข้ากับตัวบทกฎหมายโดยไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงดังจำเลยแก้ฎีกา จึงเป็นฎีกาในข้อกฎหมายไม่ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความดังศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยหรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามคำฟ้องเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์ของโจทก์จากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ไม่ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยรับราชการในส่วนราชการของโจทก์ตำแหน่งนายทหารฝ่ายการเงิน กรมพลาธิการทหารบกมีหน้าที่บริหารงานดูแลรับผิดชอบในการดำเนินกิจการเกี่ยวกับงบประมาณการเงิน การบัญชี และรายงานกิจการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือประมาทเลินเล่อเกี่ยวกับการเบิกเงินนอกงบประมาณทำให้ไม่อาจดำเนินการเบิกเงินจากทางราชการนำมาล้างบัญชีเงินนอกงบประมาณที่รองจ่ายในปีงบประมาณ 2524 ถึงปีงบประมาณ 2526 ได้ ทำให้เงินราชการขาดบัญชี โจทก์สูญเสียเงินไปจำนวน 136,341.27 บาท จำเลยจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ เห็นว่า ตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์นั่นเอง หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยครอบครองหรือยึดถือทรัพย์ของโจทก์ไว้ แล้วโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ดังกล่าวคืนดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใดไม่ กรณีต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องฟังได้ว่า นับแต่เวลาที่จำเลยกระทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเกิน 10 ปีแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share