แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
นางป.มารดาโจทก์ทั้งสามเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานีจึงได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 มาตรา 3 และนางป.เป็นบุตรคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง นางป.จึงไม่ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 เมื่อนางป.คนสัญชาติไทยอยู่กินฉันสามีภรรยากับ ก. คนญวนอพยพโดยไม่จดทะเบียนสมรสโจทก์ทั้งสามจึงมีบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามเกิดที่อำเภอเมืองอุบลราชธานีย่อมได้สัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3) บุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทยจะถูกถอนสัญชาติไทยโดยเหตุที่บิดาเป็นคนต่างด้าวตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 นั้น จะต้องปรากฏว่าคนต่างด้าวนั้นเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อนาง ป. มารดาของโจทก์ทั้งสามไม่ใช่คนต่างด้าวและนาย ก. ก็มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ทั้งสาม กรณีจึงไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337อันจะเป็นผลให้โจทก์ทั้งสามถูกถอนสัญชาติไทย โจทก์ทั้งสามจึงยังคงมีสัญชาติไทย เมื่อ พ.ศ. 2522 มารดาโจทก์ทั้งสามได้ขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่อโจทก์ทั้งสามออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ แต่เจ้าหน้าที่ไม่จัดการให้โดยโต้แย้งว่าโจทก์ทั้งสามเป็นคนต่างด้าวเช่นนี้ แม้จำเลยเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ากิจการคนญวนอพยพเมื่อเดือนพฤศจิกายน2525 ตลอดมาถึงวันฟ้องก็ตาม ตราบใดที่โจทก์ทั้งสามมีสัญชาติไทยแต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพได้ให้จำเลยถอนชื่อออกแต่จำเลยไม่จัดการให้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ทั้งสามถูกโต้แย้งสิทธิตลอดมา จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานกิจการคนญวนอพยพจังหวัดอุบลราชธานี ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ให้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์ที่จะพิพากษายกคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วส่งสำนวนคืนไปเพื่อให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่สุดแต่ว่าจะมีเหตอันสมควรหรือไม่ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในคดีพอวินิจฉัยได้แล้วศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาหรือมีคำสั่งเองได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นคนสัญชาติไทย และโจทก์ทั้งสามเกิดในราชอาณาจักรไทย โดยไม่ปรากฏบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2514 จำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพจังหวัดอุบลราชธานีได้อ้างว่าโจทก์ที่ 1และที่ 2 เป็นคนต่างด้าว และเพิ่มชื่อของโจทก์ทั้งสองลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ เมื่อโจทก์ที่ 3 เกิดมาจำเลยได้อ้างว่าโจทก์ที่ 3 เป็นคนต่างด้าวและเพิ่มชื่อโจทก์ที่ 3 ลงในทะเบียนบ้านญวนอพยพดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ความจริงโจทก์ทั้งสามเป็นคนสัญชาติไทย โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยถอนชื่อโจทก์ทั้งสามออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพดังกล่าว แต่จำเลยยืนยันว่าโจทก์ทั้งสามเป็นคนญวนอพยพ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามเป็นคนสัญชาติไทย ให้จำเลยถอนชื่อโจทก์ทั้งสามออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพเลขที่ 104/8 ถนนอุปราช ตำบลในเมืองอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี จำเลยให้การว่าโจทก์มีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายชื่อนายกู๋ โง ซึ่งเป็นคนสัญชาติญวนเกิดนอกราชอาณาจักรและหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง จำเลยเป็นข้าราชการต้องปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการและตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกรณีคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบนั้นจะต้องปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและระเบียบแบบแผนรวมทั้งกฎโดยเคร่งครัดทุกประการ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2508 และตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13ธันวาคม 2514 การได้สัญชาติและเสียสัญชาติของคนต่างด้าวย่อมเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลย อย่างไรก็ดีจำเลยได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วปรากฏว่า โจทก์ทั้งสามเป็นคนสัญชาติญวน เคยได้สัญชาติตามบิดาตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 การที่ชื่อโจทก์ทั้งสามปรากฏในทะเบียนคนญวนอพยพเพราะโจทก์ทั้งสามต่างทราบดีว่าตนมีสัญชาติญวนจึงไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ให้ปรากฏเป็นหลักฐานในทะเบียนดังกล่าวและประวัติคนญวนอพยพ โจทก์ทั้งสามไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบว่าตนเป็นคนสัญชาติไทยและไม่เคยบอกให้จำเลยถอนชื่อตนออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ และการที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิมาตั้งแต่ พ.ศ. 2514 แต่เพิ่มจะฟ้องคดีนี้ซึ่งล่วงเลยเวลากว่า 10 ปีคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุคคลมีสัญชาติไทย ให้จำเลยถอนชื่อโจทก์ทั้งสามออกจากทะเบียนบ้านญวนอพยพ เลขที่ 104/8 ถนนอุปราช ตำบลในเมืองอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางปราณีหรือแอม แซ่ผ่าน เป็นบุตรนายยินและนางเกียว แซ่ผ่านคนต่างด้าวซึ่งได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองซึ่งมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวนางปราณีเกิดที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อ พ.ศ. 2490 ตามทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.2 และมีบัตรประจำตัวประชาชนตามภาพถ่ายหมาย จ.4 เมื่อ พ.ศ. 2508 นางปราณีอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายกู๋หรือสมศักดิ์ แซ่โง คนญวนอพยพโดยมิได้จดทะเบียนสมรสมีบุตรเกิดด้วยกัน 3 คน คือ โจทก์ที่ 1 เกิดเมื่อพ.ศ. 2509 โจทก์ที่ 2 เกิดเมื่อ พ.ศ. 2512 โจทก์ที่ 3 เกิดเมื่อพ.ศ. 2516 ที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อพ.ศ. 2514 สำนักงานกิจการญวนอพยพได้ใส่ชื่อนายกู๋ นางปราณีกับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพเลขที่ 104/8ถนนอุปราช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี และเมื่อโจทก์ที่ 3 เกิดมา เจ้าหน้าที่ได้อ้างว่า โจทก์ที่ 3 เป็นคนต่างด้าวและเพิ่มชื่อโจทก์ที่ 3 ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพดังกล่าว
จำเลยฎีกาในข้อแรกว่า นางปราณีเป็นคนต่างด้าวเพราะมีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าว จึงไม่อาจได้สัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรนางปราณีและนายกู๋คนญวนอพยพโดยบิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ทั้งสามจึงไม่ได้สัญชาติไทยเช่นเดียวกับนางปราณีตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า นางปราณีมารดาโจทก์ทั้งสามเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี จึงได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2456 มาตรา 3 และนางปราณีเป็นบุตรคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองนางปราณีจึงไม่ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 เมื่อนางปราณีคนสัญชาติไทยอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายกู๋คนญวนอพยพโดยไม่จดทะเบียนสมรส โจทก์ทั้งสามจึงมีบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามได้สัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3) บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยจะถูกถอนสัญชาติไทยโดยเหตุที่บิดาเป็นคนต่างด้าวตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 นั้นจะต้องปรากฏว่าคนต่างด้าวนั้นเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อนางปราณีมารดาของโจทก์ทั้งสามไม่ใช่คนต่างด้าว และนายกู๋ก็มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ทั้งสาม กรณีจึงไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 อันจะเป็นผลให้โจทก์ทั้งสามถูกถอนสัญชาติไทย โจทก์ทั้งสามจึงยังคงมีสัญชาติไทย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวหรือฐานะตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพจังหวัดอุบลราชธานี เพราะไม่มีการโต้แย้งสิทธิใด ๆ ของโจทก์ทั้งสาม และคดีขาดอายุความนั้น ได้ความว่า เมื่อ พ.ศ. 2522 มารดาโจทก์ทั้งสามได้ขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่อโจทก์ทั้งสามออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ แต่เจ้าหน้าที่ไม่จัดการให้โดยโต้แย้งว่าโจทก์ทั้งสามเป็นคนต่างด้าวเช่นนี้ เห็นว่า แม้จำเลยเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ากิจการคนญวนอพยพเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2505 ตลอดมาถึงวันฟ้องก็ตามตราบใดที่โจทก์ทั้งสามมีสัญชาติไทยแต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพได้ให้จำเลยถอนชื่อออกแต่จำเลยไม่จัดการให้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ทั้งสามถูกโต้แย้งสิทธิตลอดมาจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานกิจการคนญวนอพยพ จังหวัดอุบลราชธานี และคดีไม่ขาดอายุความฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาขั้นสุดท้ายว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาฟ้องโดยวินิจฉัยประเด็นเดียวว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงประเด็นเรื่องสัญชาติและอายุความ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242 ให้อำนาจพิพากษายืน ยก กลับและแก้ปัญหาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเท่านั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 บัญญัติว่า “ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วยคือ (1) เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งและศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุอันสมควรก็ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นนั้นเสีย แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่…” ตามมาตรา 243(1) นี้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วส่งสำนวนคืนไปเพื่อให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่นั้น อยู่ในดุลพินิจว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงในคดีพอวินิจฉัยได้แล้วศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาหรือมีคำสั่งเองได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน