คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมิได้รับของโจร แต่ร่วมกับ ว. ลักรถจักรยานยนต์ของกลาง แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษฐานรับของโจร โจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขบทลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม และกรณีมิใช่การพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอเพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องและร้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานหนึ่งฐานใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2541 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันลักทรัพย์รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 9 ห-0311 ราคา 85,455 บาท ของบริษัทไฮเวย์ จำกัดซึ่งอยู่ในความครอบครองของนางสาวน้องเล็ก จิตสงบ ไปโดยสุจริต โดยจำเลยทั้งสองกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม หรือมิฉะนั้นตามวันและเวลาสถานที่ดังกล่าวข้างต้น จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 35, 336 ทวิ, 357

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 อายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 คงจำคุก 2 ปี คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง คนร้ายหลายคนร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของกลางของบริษัทไฮเวย์ จำกัด ขณะอยู่ในความครอบครองของนางสาวน้องเล็กจิตสงบ ผู้เสียหาย เจ้าพนักงานงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสอง และนายวีนัสเจิมกลาง จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5755/2541 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลพิพากษาลงโทษและคดีถึงที่สุด พร้อมยึดรถจักรยานยนต์ของกลางปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ นายสมมาตร เรืองศรี พยานโจทก์เบิกความว่าวันที่ 10มิถุนายน 2541 เวลา 5 นาฬิกา ผู้เสียหายบอกว่าคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของกลาง นายสมมาตรออกจากห้องพักชะโงกดูตรงระเบียงเห็นคนร้ายอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร คนร้ายขับรถจักรยานยนต์ของกลางออกจากแฟลตอุบลรัตน์นายสมมาตรโทรศัพท์แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 191 และแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางโพงพาง พร้อมกับออกติดตามคนร้ายโดยมีน้องชายร่วมเดินทางไปด้วย เวลา 9 นาฬิกา นายสมมาตรพบรถจักรยานยนต์ของกลางจอดที่หน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 ได้ความจากคนในร้านว่ามีชาย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์ของกลางมาฝากจอดที่หน้าร้าน นายสมมาตรแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจและแอบซุ่มดูอยู่จนกระทั่งเวลา 11.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 และนายวีนัสใช้รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง สีเขียว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนซึ่งเป็นคันเดียวกับที่นายสมมาตรเห็นขณะคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของกลาง แล่นมาจอดที่หน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ดึงสติกเกอร์ที่ท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์ของกลางออก น้องชายผู้เสียหายสอบถามนายวีนัสและจำเลยที่ 1 ว่าเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ของกลางมาจอดหรือไม่นายวีนัสและจำเลยที่ 1 ยอมรับ เจ้าพนักงานตำรวจจึงควบคุมตัวนายวีนัส และจำเลยที่ 1 ไว้ แผ่นป้ายทะเบียนรถ ป้ายวงกลมเสียภาษีป้ายประกันภัยบุคคลผู้ประสบภัยจากรถ และกุญแจล็อกคอรถของรถจักรยานยนต์ของกลางหายไป นายวีนัสรับว่ากุญแจล็อกคอรถอยู่กับตน ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนรถ ป้ายวงกลม เสียภาษีและป้ายประกันภัยบุคคลผู้ประสบภัยจากรถถูกแกะทิ้งระหว่างทางจำเลยที่ 1 และนายวีนัสนำเจ้าพนักงานตำรวจไปค้นหาและพบป้ายวงกลมเสียภาษี ป้ายประกันภัยบุคคลผู้ประสบภัยจากรถของรถจักรยานยนต์ของกลางในเข่งไม้ไผ่ในซอยประดู่ 1 ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนรถหาไม่พบ ร้อยตำรวจเอกสุรชัย วัชรพาณิชย์ ผู้จับกุมและร้อยตำรวจเอกสำรวย เข็มพิลา พนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าร่วมกับนายวีนัสลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ของกลางโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสามปากต่างไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน ข้อระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสามปากจะแกล้งกล่าวหาและเบิกความใส่ร้ายจำเลยที่ 1 ให้ต้องโทษอาญาจึงไม่มี บันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.9 ก็มีข้อความสอดคล้องตรงกับที่พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความ ทั้งจำเลยที่ 1 และนายวีนัสยังแสดงท่าประกอบคำรับสารภาพ ณ สถานที่เกิดเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ตามภาพถ่ายหมาย จ.13 รวม 4 ภาพ เช่นนี้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 จวนตัวไม่อาจคิดหาข้อแก้ตัวได้ทันท่วงทีจึงยอมให้ความจริงต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับนายวีนัสนำเจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดป้ายวงกลมเสียภาษี และป้ายประกันภัยบุคคลผู้ประสบภัยจากรถของรถจักรยานยนต์ของกลางที่ถูกจำเลยที่ 1 และนายวีนัสแกะทิ้งระหว่างทางก่อนนำรถจักรยานยนต์ของกลางมาจอดที่หน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 ก็เป็นข้อบ่งบอกได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นการลักรถจักรยานยนต์ของกลางจากแฟลตอุบลรัตน์มาแต่แรก จำเลยที่ 1 แกะสติกเกอร์ท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์ของกลางออกก็เป็นการกลบเกลื่อนทำลายพยานหลักฐานประการหนึ่ง ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 อยู่ร่วมกับนายวีนัสก่อนถูกจับกุมหลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมงเช่นนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้รับของโจร หากแต่ร่วมกับนายวีนัสลักรถจักรยานยนต์ของกลาง โดยมีเหตุฉกรรจ์ตามฟ้องโจทก์แม้โจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขบทลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม และกรณีมิใช่การพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอเพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องและร้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์มีเหตุฉกรรจ์หรือความผิดฐานรับของโจรฐานหนึ่งฐานใด”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิ ยกฟ้องความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share