แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโดยใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายซึ่งกันและกันและกระสุนปืนที่จำเลยที่ 2ยิงไม่ถูกจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายอย่างไร และทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนตีศีรษะของจำเลยที่ 1 จนได้รับอันตรายแก่กายโดยไม่มีเจตนาฆ่าแต่การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นรวมการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย และเป็นความผิดได้ในตัวเองดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนสั้นขนาด 6.35 มิลลิเมตร หมายเลขทะเบียน มก.6/16124 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืน6 นัด อาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวเป็นของนายยุทธพล พงษ์พันธ์ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียน ไว้ในครอบครองของจำเลยที่ 1โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนสั้นขนาด 9 มิลลิเมตรจำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาดเดียวกันไม่ทราบจำนวนแน่ชัดโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และจำเลยทั้งสองพาอาวุธปืนพร้อมกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในโปโลซิตี้ดิสโก้เธค ซึ่งเป็นร้านอาหารและสถานบริการสาธารณะอยู่ในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่ใช่กรณีที่ต้องมีอาวุธปืนติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จากนั้นจำเลยทั้งสองต่างใช้อาวุธปืนที่ตนมีและพาไปดังกล่าวยิงโดยใช่เหตุในร้านอาหารและสถานบริการโปโลซิตี้ดิสโก้เธคซึ่งเป็นที่ชุมชนและอยู่ในเมืองคนละนัด และจำเลยทั้งสองต่างใช้อาวุธปืนที่ตนมีไว้ในครอบครองและพาติดตัวดังกล่าวยิงทำร้ายซึ่งกันและกันโดยมีเจตนาฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง กระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงถูกบริเวณท้องจำเลยที่ 2 และพลาดไปถูกนางสาวภัสรา กาญจนถาวรวิบูลย์ ผู้เสียหายที่บริเวณทรวงอกด้านซ้าย และกระสุนปืนที่จำเลยคนใดคนหนึ่งยิงพลาดไปถูกสิบโทวันเผด็จ บัวคล้าย ผู้เสียหาย ที่เข่าด้านซ้าย จำเลยทั้งสองลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้วแต่ไม่บรรลุผล เนื่องจากจำเลยที่ 2นางสาวภัสรา และสิบโทวันเผด็จได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตายและกระสุนปืนที่จำเลยที่ 2 ยิงไม่ถูกจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 60, 371, 376, 91, 33, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนขนาด 6.35 มิลลิเมตรจำนวน 3 ปลอก กระสุนปืนขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวน 1 ปลอก ซองพกหนังขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวน 1 ซอง หัวกระสุนปืน 1 หัว และคืนอาวุธปืนพกสั้นหมายเลขทะเบียน มก/6/16124 แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 288 ประกอบมาตรา 80, 60 อีกสองบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน จึงลงโทษเพียงบทเดียว มาตรา 371, 376 จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80,371, 376 และจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษ ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานยิงปืนในที่ชุมนุมชนโดยใช่เหตุเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุกคนละ 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุกคนละ 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยฝ่าฝืนกฎหมายลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุกคนละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ15 ปี 12 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 10 ปี 8 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนขนาด 6.35 มิลลิเมตร 3 ปลอก ปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มิลลิเมตร1 ปลอก ซองพกหนังและหัวกระสุนปืนของกลาง และคืนอาวุธปืนหมายเลขทะเบียน มก.6/16124 แก่เจ้าของข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 12 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น และฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นจำคุกคนละ 12 ปี 12 เดือน ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี 8 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอันยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 และข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้ต่อสู้กันโดยจำเลยที่ 1ใช้อาวุธปืนสั้นขนาด 6.35 มิลลิเมตร ยิงพยายามฆ่าจำเลยที่ 2 คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น และฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้จำคุกจำเลยที่ 2 แต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ไม่ได้กระทำความผิดดังกล่าว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและยิงปืนในที่ชุมนุมชนโดยใช่เหตุหรือไม่โจทก์มีนายยุทธพล พงษ์พันธ์ กับนางสาวภัสรา กาญจนถาวรวิบูลย์เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยที่ 1 มีปากเสียงทะเลาะกับพวกของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ซึ่งนั่งอยู่กับพวกจึงลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วชักอาวุธปืนสั้นออกจากเอวของจำเลยที่ 2 ใช้ด้ามปืนตีที่ศีรษะของจำเลยที่ 1 จนกระทั่งจำเลยที่ 1 ทรุดลงจำเลยที่ 2 เล็งปืนไปทางจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงพุ่งเข้าใส่จำเลยที่ 2 โดยจับมือข้างที่จำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนไว้แล้ว มีการแย่งอาวุธปืนกันและมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้กอดปล้ำต่อสู้กันและได้ยินเสียงปืนดังติดต่อกันอีก 2 ถึง 3 นัด หลังเกิดเหตุปรากฏว่ามีนางสาวภัสรา สิบโทวันเผด็จ บัวคล้าย และจำเลยที่ 2 ถูกกระสุนปืนได้รับอันตรายแก่กาย ตรวจที่เกิดเหตุแล้วพบปลอกกระสุนปืนขนาด 6.35มิลลิเมตร จำนวน 3 ปลอก ขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวน 1 ปลอก และหัวกระสุนปืน 1 นัด เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองแม้จะเป็นเพื่อของจำเลยที่ 1ก็ตาม แต่พยานทั้งสองก็ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน อีกทั้งคำเบิกความของพยานทั้งสองน่าจะเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 ด้วยและเมื่อพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของร้อยเอกเจือพร วิปุลัมภ์พยานจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนสั้นตีศีรษะของจำเลยที่ 1 จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความเป็นจริง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกของจำเลยที่ 2 ได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน จำเลยที่ 2 เข้าไปใช้อาวุธปืนสั้นตีศีรษะของจำเลยที่ 1 ทรุดลงแล้วเล็งปืนไปที่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงเข้าแย่งอาวุธปืนจากจำเลยที่ 2อาวุธปืนของจำเลยที่ 2 จึงลั่นขึ้น 1 นัด แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กอดปล้ำต่อสู้กัน จึงมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 3 นัด ซึ่งจากทางนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานโจทก์คนใดเห็นจำเลยที่ 2 ยิงปืนไปทางจำเลยที่ 1 วิถีกระสุนปืนของจำเลยที่ 2ไม่มีผู้ใดทราบว่าพุ่งไปทิศทางใด ทั้งได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นได้ปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 เพียง 1 ปลอก ดังนี้ อาวุธปืนของจำเลยที่ 2 จึงอาจลั่นขึ้นเพราะจำเลยที่ 1 และที่ 2 กอดปล้ำแย่งอาวุธปืนกันก็เป็นได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่แรกที่มีโอกาสยิงจำเลยที่ 1 ได้ในทันทีแต่หาได้กระทำไม่ คงเพียงแต่ใช้ด้ามปืนตีศีรษะของจำเลยที่ 1 จะได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามใบความเห็นแพทย์เอกสารหมาย ล.3 เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 เล็งปืนไปที่จำเลยที่ 1 โดยยังไม่ได้ยิงก็อาจเป็นเพียงข่มขู่เท่านั้น ไม่อาจสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 ได้ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงและมีเจตนาฆ่าจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและยิงปืนในที่ชุมนุมชนโดยใช่เหตุ คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจเท่านั้นซึ่งศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า โดยใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายซึ่งกันและกันและกระสุนปืนที่จำเลยที่ 2ยิงไม่ถูกจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายอย่างไร และทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนตีศีรษะของจำเลยที่ 1 จนได้รับอันตรายแก่กาย แต่การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นรวมการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย และเป็นความผิดได้ในตัวเองดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่าขณะเกิดเหตุในบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีแสงสว่างพอที่พยานจะเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจนนั้น เห็นว่า พยานโจทก์รวมทั้งพยานจำเลยที่ 1ต่างเบิกความว่าสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 5 ถึง 7 เมตร และพยานเบิกความได้สอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญแห่งคดีจึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์สามารถเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน พยานหลักฐานจำเลยที่ 2ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นเป็นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 วางโทษจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาจำคุก 12 เดือน แล้ว รวมจำคุกมีกำหนด 2 ปี 12 เดือน ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7